เหมือนที่บิล เมอเร่ย์ เจอสการ์เล็ต โยฮันสันใน lost in translation เหมือนตอนที่พระเอก shall we dance? ค้นพบความสนุกสนานของการเต้นรำ เหมือนตอนที่ผมได้ดู star wars ครั้งแรก เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก ตอนที่ได้กินของอร่อยๆครั้งแรก ตอนที่ได้ไปเที่ยวในที่ไกลๆ ตอนที่มีคนกอดเรา ตอนที่ฟังเพลง for the first time ในยามมีรักครั้งแรก ตอนที่เรายังรู้สึกถึงความเป็นไปได้ของความฝัน รู้สึกถึงความหอมหวนของอดีต รู้สึกถึงความตื่นเต้นของวันพรุ่งนี้ รู้สึกถึงสีสันของวันนี้ รู้สึกถึงความเจ็บปวดและเสียใจ รสชาติของน้ำตายามร้องไห้ รู้สึกถึงความน่ากลัวของความตาย รู้สึกถึงความหมายของชีวิต
15 Comments:
คำสารภาพของคนขี้เกียจ
6 มิถุนายน 48
คำนำ
ครับ ดังที่พี่บอก พักนี้ผมขี้เกียจจังเลย ไม่ออกไปไหนเลย
ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกันแหละครับ
ใครบางคนพยายามเดา ว่าผมอกหัก
เสียดาย ไม่ยักกะใช่
แต่ก็มีส่วนใกล้เคียง ในบางเสี้ยว
จริงๆแล้วมันมีเหตุผลของมัน หลากหลายข้อ เช่น
(1)
ช่วงเดือนสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายฝ่าย
ผมเริ่มสังเกตอะไรบางอย่าง
มีเพื่อนคนหนึ่งในฝ่าย เธอเริ่มมีอาการแปลกๆ
ชอบมาวนเวียนแถวๆโต๊ะผม หรือไม่ก็โทรมาแบบหาเรื่องจะคุย (ทั้งๆที่ไม่ค่อยจะมีอะไรคุย)
หลังๆก็มาทำงอน หาว่าผมจะหนีไปอยู่ฝ่ายอื่น เริ่มมีการเดินมาเกาะโต๊ะ แซวนั่นแซวนี่
นับวันยิ่งหนักข้อ มีการโทรมาชวนไปกินข้าวกลางวัน
สุดท้ายวันที่ผมจะย้ายฝ่าย มีการตามไปส่งถึงชั้นใหม่
ควรจะดีใจใช่ไหมครับ
ก็ดีใจตามประสา มีคนมาดีด้วย
เพียงแต่ว่า เธอไม่ใช่อ่ะ (คำพูดยอดฮิต)
ยังไงก็ไม่ใช่ ให้ตายเหอะ
ควรจะดีใจใช่ไหมครับ
แต่ผมกลับเศร้าแฮะ
เรื่องนี้ทำเอาผมย้อนนึกไปถึงหลายๆคนที่ผมเคยชอบเขาข้างเดียว
สมัยก่อนนี้ผมเคยเข้าใจนะครับ ว่าความรักคือการพยายาม
เคยเชื่อมั่นว่า ถ้าหากเราทำดีกับใครสักคนหนึ่งแล้ว สักวันเขาจะต้องชอบเรา
เคยศรัทธาว่า ความดีเอาชนะความรักได้
แม้จะผิดหวังหลายครั้ง ผมก็ยังไม่เลิกเชื่อ
ผมคิดเสมอว่า โลกใบนี้ยังมีคนที่มีหัวใจดวงดีๆอยู่
ผมกระทั่ง(หลง)เชื่อว่า ตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
บอกตัวเองว่า ถ้าวันใดวันหนึ่ง มีคนที่รักเรามากๆ หรือดีกับเรามากๆ
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ผมจะรักเขาตอบ
ผมไปนอนคิดวนเวียน ว่าจะมีความสุขแค่ไหน ถ้าผมทำใจให้ชอบเธอคนนั้นได้
ผมคงแทบจะไม่ต้องพยายามอะไรมาก ทุกอย่างคงเรียบง่าย ราบรื่น
คงจะเหมือนสิ่งที่เขาเรียกว่า พรหมลิขิต
แต่ความจริงก็คือ ผมทำไม่ได้(ว่ะ)
และความรักก็ออกแบบไม่ได้ด้วย
และความจริงที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ผมก็ยังอยากให้เธอดีกับผมแบบนี้
กลายเป็นว่า ผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ที่เห็นแก่ตัว
ไม่รักเขา ไม่ชอบเขา แต่อยากให้เขาทำดีด้วย
ผมนึกย้อนกลับไปถึงคนที่ผมเคยชอบเขาข้างเดียว
คนที่ผมเคยโทรไปคุย เขาก็คุยดีด้วย
คนที่ผมเคยไปดูหนังด้วยกัน เขาก็ดูจะยินดี
คนที่ผมเคยช่วยทำนั่นทำนี่ให้ ก็ดูเขาปลื้มอยู่เหมือนกัน
แต่ใครจะรู้ว่า ข้างในเขาคิดอะไรอยู่
ตอนนั้นผมไม่รู้
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว
เขาเหล่านั้นก็คงคิดเหมือนผมในตอนนี้
สงสารคนที่มาชอบเรา สมเพศคนที่มาหลงเรา ดีใจที่เขามาทำดี แต่ไม่อยากใกล้ชิดเพราะกลัวเขาจะเข้าใจผิด
มันไม่ใช่ความรัก มันอาจเป็นความสงสารปนกับความเห็นแก่ตัว
ทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเอง ที่ผมก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ
บางวันผมไม่อยากจะเจอหน้าเขา
เพราะเวลาที่เขาทำดีกับผม ผมทำตัวไม่ถูก กลัวว่าถ้าแสดงตอบด้วยความดีใจจะทำให้เขาคิดไปเอง
และกลัวว่าถ้าทำเป็นเย็นชาจะทำให้เขาเสียใจ
ผมอยากจะบอกเขา ว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า
แต่ผมก็กลัวจะเสียเพื่อนไป
ผมนึกถึงแววตาของคนที่ผมเคยชอบ นึกถึงเวลาผมสารภาพความจริงแล้วเขาตกใจ (บางคนถอยกรูด หนีหน้า หายไป) นึกถึงครั้งที่ผมเคยพยายามตื๊อใครบางคน ทั้งๆที่เขาไม่ได้ชอบผม (จนเขาก็หนีหน้า หายไปอีกเช่นกัน)
แล้วผมก็รู้สึกทุเรศในความดันทุรังของตัวเอง
ความรักมันไม่ได้สวยหรู ความพยายามมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ ความดีมันไม่ได้มีผลอะไร
แม้แต่กับตัวผมเอง กฎนี้ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
สุดท้าย มันก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกเบื่อ
เบื่อหน่ายกับเรื่องพวกนี้
เบื่อหน่ายจริงๆหลังจากที่เคยเบื่อๆอยากๆมาแล้วไม่รู้กี่รอบ
เขารักเรา เราไม่รักรักเขา เขาไม่รักเรา เรารักเขา
รู้สึกว่า ทุกๆอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องงี่เง่าทั้งนั้น
มันเป็นสิ่งที่ต้องเป็น
เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล
ไม่ใช่เรื่องว่าใครผิดถูก ใครเลวใครดี
ไม่ใช่เรื่องของการหาหัวใจดวงดีๆสักดวง
เพราะแต่ละค้นก็ล้วนมีหัวใจคนละดวง ของใครก็ของมัน
ถามตัวเองว่า มีประโยชน์อะไร จะรักกันไปทำไม วิ่งไล่ตามอะไรกันอยู่
ในเมื่อทุกคนเอาวิ่งไป ไขว่คว้าคนที่อยู่เบื้องหน้า ภาวนาให้เขาหันกลับมา
แต่ไม่มีใครเคยคิดที่จะหันกลับไป หรือหยุดรอคนที่วิ่งตามเรา
ถามตัวเองว่า ทำไปทำไม
หาเหตุผล หาความจำเป็น หาแรงจูงใจ ไม่เจอ
ความรักก็เหมือนการต่อสู้
ต้องมีฝ่ายที่ล้มตาย ล้มตาย เจ็บปวด สูญเสีย
ระหว่างที่กำลังเมามัน เราอาจไม่รู้ตัว
แต่เมื่อสงครามจบลง เหลียวมองซากศพรอบกาย เพื่อน มิตร ศัตรู ชาวบ้าน ทอดร่างเกลื่อนกล่น
ได้แต่สะท้อนใจ ว่าสุดท้ายก็เพื่ออะไร
ฆ่ากันไปเพื่ออะไร รักกันไปเพื่ออะไร เกลียดกันไปเพื่ออะไร โกรธกันไปเพื่ออะไร
กลายเป็นความเบื่อหน่าย.....
(2)
วันก่อนดูข่าว ที่ลูกเมายาบ้า แล้วฆ่ายกครัว ปาดคอพ่อ แม่ พี่ น้อง เรียบ
ถามตัวเองว่า เพราะเหตุใด หรือเป็นเพราะชาติก่อนครอบครัวนี้เคยทำกรรมกับใครไว้
หรือคนที่เกิดมาเป็นลูกนี้ ในชาติก่อนอาจจะโกรธ และตั้งจิตอาฆาต
ผลจึงเกิดมาเป็นลูก เพื่อมาล้างแค้น
แต่สุดท้าย เพียงแค่ตั้งจิต คิดพยาบาท ก็กลับกลายเป็นสร้างกรรมมากกว่าเดิม โดยการทำปิตุฆาตโดยไม่รู้ตัว
ใครจะรู้ ว่าตั้งแต่เกิดมา เราโกรธใครไปกี่คน กี่หนแล้วบ้าง
ใครจะรู้ ว่าสิ่งที่สะสมไว้นั้น จะไม่นำไปสู่จุดจบที่เลวร้าย
ใครจะไปรู้ ไม่แน่ ด้วยผลของการอาฆาต อาจต้องเกิดมาทำกรรมที่หนักกว่าก็ได้
คิดแล้วก็สลดใจ เราจะโกรธกันไปทำไม เราจะแค้นกันไปทำไม
โลกนี้หนอ รัก เกลียด หลง โลภ โกรธ อิจฉา ทุกข์ สุข เซ็งว่ะ แม้แต่อาการเซ็งเราก็ยังเซ็งกับมัน
(3)
เลยพาลเบื่อไปหมด ชีวิตกลายเป็นแค่เรื่องเดิมๆ
เป็นงานรูทีน วนเวียนซ้ำซาก
รู้สึกโลกนี้มันไม่มีอะไรที่มีความหมายพอให้ใส่ใจ พอให้ต่อสู้ พอให้เหลือแล
ไม่มีใครมีค่าพอที่จะรัก ไม่มีใครมีค่าพอที่จะโกรธ ไม่มีใครมีค่าพอที่จะอาลัย
รู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลายเป็นคนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า indifference
แปลตรงตัวคือ ไม่เห็นความแตกต่าง แต่ถ้าแปลตาม dictionary จริงๆ แล้ว หมายถึง ไม่แคร์ ไม่แยแส
ความหมายนี้ใช่เลย
เพราะผมเริ่มที่จะแคร์อะไรต่ออะไรน้อยลง
สิ่งที่ผู้คนเขาสนใจ เขาพูดคุย ก็ไม่อาจทำให้ผมกระตือรือร้นอีกแล้ว
เจอหน้าใครก็คุยแต่เรื่องเดิมๆ ความรัก อกหัก หาแฟน แต่งงาน ครอบครัว เลี้ยงลูก เล่นรถ เล่นกอล์ฟ แฟชั่น ผู้หญิง ผู้ชาย เงิน เศรษฐกิจ ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปหาอะไรอร่อยๆ ไปดูนั่น ไปดูนี่ เสพหนัง เสพเพลง เสพหนังสือ เสพศิลปะ ไม่ก็คุยเรื่องงาน เรื่องเบื่องาน เรื่องตำแหน่ง เรื่องอาชีพ เรื่องรัฐบาล เรื่องฝ่ายค้าน เรื่องคอรัปชั่น เรื่องความแก่ ความหนุ่ม ความสาว ความตาย ความเกิด
เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
พอฟังเรื่องพวกนี้มากๆเข้า ในใจก็เริ่มถามกวนๆว่า For what? เพื่ออะไร มีประโยชน์อะไร ได้แล้วเป็นไง ไม่ได้แล้วเป็นไง คุยกันไปทำไม จะบ้าจะเป็นจะตายไปเพื่ออะไร
คุยกันเพราะไม่มีอะไรจะทำ
คุยกัน แต่ไม่ฟังกัน
คุยกัน แต่ไม่เข้าใจกัน
คุยกัน ทำไม(วะ)
(4)
อ่านมาถึงตรงนี้ ใจเย็นๆนะครับ ผมยังไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง
มันไม่ได้เบื่อแบบนี้ทุกวันหรอก บางวันก็รู้สึกดี มีเรี่ยวแรงจะทำนั่นทำนี่
แต่บางวันก็เบื่อๆ ซึ่งอารมณ์ก็ออกจะประมาณแนวๆนี้
เพียงแต่รู้สึกว่า ชีวิตมันไม่มีอะไรตื่นเต้นท้าทาย หรือมีคุณค่าที่จะทำเหลืออีกแล้ว
ความสนใจในอะไรต่างๆที่ผู้คนบนโลกใบนี้เขาสนใจ ก็เริ่มน้อยลง
รู้สึกเหมือนคนแก่ ที่เดินทางมาถึงบั้นปลายชีวิต
หรือว่า จะถึง mid-life crisis ก็ไม่รู้
เหมือนบิล เมอเร่ย์ใน lost in translation ที่เบื่อไปหมด
เหมือนชีวิตมันกลายเป็นความเบาหวิวที่เหลือทนไปแล้ว
อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนักก็ได้
งานที่เครียดๆ ผมก็เดินจากมันไปแล้ว
เจ้านายแย่ๆ เพื่อนร่วมงานเลวๆ ผมก็ปลดเปลื้องไปแล้ว
ความรักหรือ ถ้าพูดตามสำนวนหนังจีน ผมก็โยนหัวใจให้ทิ้งให้สุนัขคาบไปกินเรียบร้อยแล้ว
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมมีอิสระมากไป
ผมกินในสิ่งที่อยากกิน ดูในสิ่งที่อยากดู ฟังในสิ่งที่อยากฟัง
ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน
เรื่องสุขภาพก็มีปวดนั่นปวดนี่ไปตามเรื่อง แต่ไม่ถึงกับตายหรือพิการ
ไม่มีภาระ และก็มั่นใจว่าไม่ได้สร้างภาระแก่ใครมากนัก
แต่บางที ความเป็นอิสระแบบนี้มันก็ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตเราช่างน้อยนิดเหลือเกิน
ไม่ได้ทำประโยชน์ให้ใคร
การมีตัวตนของเราไม่ได้มีความหมายกับใครมากนัก
และการไม่มีตัวตนของเรา ก็คงจะไม่มีใครคิดถึงมากนัก
แม้แต่เจ้าหนี้
เพราะผมไม่มีหนี้ (ฮา)
ไม่ทราบเคยเล่าหรือยังครับ
ว่าหัวหน้าเก่าของผมน่ะ ที่เขาลาออกไป
เขาไปเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลพักใหญ่
แต่ทำได้ไมถึงเดือนก็ลาออก ไปนั่งปฏิบัติธรรม
เห็นพี่เขาเงียบหายไปสักพัก ไม่ติดต่อมา โทรศัพท์ก็ไม่รับสาย
ผมก็ชักเป็นห่วง เลยถามไถ่จากแหล่งข่าว
รู้มาว่า พี่เขาพักนี้รู้สึกเครียดๆ ทั้งๆที่ไปปฏิบัติธรรมมาน่าจะดีขึ้น
ผมฟังแล้วก็พอเข้าใจ ว่าคงอาการแบบเดียวกับผม
พี่เขาก็ไม่มีภาระอะไร สามีหรือลูกก็ไม่มี ฐานะทางบ้านก็ดี ไม่ต้องทำงานแล้วก็ยังได้
คงจะรู้สึกเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไร ยิ่งคนที่เคยทำงานมาเกือบยี่สิบปีแล้วหยุดงานไป คงยิ่งรู้สึกว่าชีวิตโหวงเหวงพิกล ได้แต่หวังว่าพี่เขาคงจะหาย และกลับไปร่าเริงเหมือนตอนเราทำงานด้วยกัน
(5)
บางครั้ง ในวันหยุด ผมจะวิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ทั้งวัน
พยายามจะทำตัวไม่ให้ว่าง ใช้เวลาให้คุ้มค่า
แต่พอเย็นๆวันอาทิตย์ ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ ว่าผมใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่าเลย
ไม่มีสิ่งใดเลยที่ผมทำไป จะมีประโยชน์จริงๆต่อผมเอง และโลกใบนี้
ผมอยากจะย้อนเวลาวันนั้นกลับไป และใช้มันอีกครั้ง
แต่ผมก็ไม่รู้ว่า ถ้าผมย้อนกลับไป แล้วผมจะสามารถใช้มันได้ดีกว่าที่ใช้ไปแล้วได้หรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างยังทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น เลือดสูบฉีดอยู่
อย่างเช่น บรรยากาศในโรงหนัง การอ่านหนังสือดีๆจบสักเล่ม การฟังเพลงดีๆ การได้ไปหาdvdหนังแปลกๆมาดู การได้เชียร์บอล (เสียดายตอนนี้จบฤดูกาลไปแล้ว) การได้ตัดต่อวีดีโอ การได้ออกกำลังกาย การได้อ่านหนังสือธรรมะ การได้นั่งสมาธิ
แต่ทำมากๆเข้ามันก็เริ่มเอียน
เพราะเป็นความจริงที่ปฏิเสธว่า กิจกรรมที่ทำไปมันไม่ได้สร้างประโยชน์ใดๆต่อใครเลย นอกจากตัวผมเอง
มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การใช้เวลาหมดไปกับตัวเอง
บางครั้งผมก็อยากจะใช้เวลาร่วมกับคนอื่น
แต่บางทีผมก็เบื่อคนอื่นๆ ไม่อยากจะไปยุ่งกับใคร
และผมก็ไม่เห็นจะเจอคนที่อยากใช้เวลาร่วมกับผมจริงๆซักเท่าไร
ยกเว้นแค่บางคน
หลังๆ ผมพบว่า การอยู่บ้าน และใช้เวลากับครอบครัว คนที่เรารัก และคนที่รักเรา น่าจะดีกว่า
ผมค้นพบว่า การดูหนัง dvd ร่วมกันกับคนในบ้าน การกินข้าวร่วมกัน การไปจ่ายตลาด การนอนกลางวันอย่างพร้อมเพรียง การกินไอติมคลายร้อน การนั่งดูสรยุทธ์กะกนก การทำงานบ้าน
การใช้เวลาร่วมกันกับคนในครอบครัว ก็เพียงพอแล้ว
บางครั้งผมมองไปข้างนอกบ้าน เห็นเปลวแดดร้อนๆ นึกถึงผู้คนขวักไขว่ตามศูนย์การค้า ดิ้นรนเสาะหาบางสิ่งบางอย่างที่มันไม่มีอยู่จริง แล้วผมก็คิดว่า ผมนอนเล่นอยู่บ้านดีกว่า
ใช่ว่าอยู่บ้านจะไม่เซ็ง แต่อยู่ข้างนอกคงเซ็งกว่า
(6)
ส่งท้าย
แต่ผมก็รู้นะครับ ว่าอาการแบบนี้มันไม่ดีหรอก
พยายามคิดเหมือนกันว่า มันเป็นแค่ความคิดขาจร อย่าไปคิดมาก เดี๋ยวมันก็แว่บหายไปแล้วล่ะ
แต่ลึกๆแล้วผมก็อยาก
อยากจะให้เกิดอะไรขึ้นสักอย่างกับชีวิต
อยากจะค้นพบอะไรสักอย่างที่จะมาจุดประกายไฟ ที่มันมอดให้สว่างอีกครั้ง
อยากให้ความรู้สึกบางสิ่งที่เลือนหายไปนานกลับมาอีกครั้ง
เหมือนที่บิล เมอเร่ย์ เจอสการ์เล็ต โยฮันสันใน lost in translation
เหมือนตอนที่พระเอก shall we dance? ค้นพบความสนุกสนานของการเต้นรำ
เหมือนตอนที่ผมได้ดู star wars ครั้งแรก
เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก ตอนที่ได้กินของอร่อยๆครั้งแรก ตอนที่ได้ไปเที่ยวในที่ไกลๆ ตอนที่มีคนกอดเรา ตอนที่ฟังเพลง for the first time ในยามมีรักครั้งแรก
ตอนที่เรายังรู้สึกถึงความเป็นไปได้ของความฝัน รู้สึกถึงความหอมหวนของอดีต รู้สึกถึงความตื่นเต้นของวันพรุ่งนี้ รู้สึกถึงสีสันของวันนี้ รู้สึกถึงความเจ็บปวดและเสียใจ รสชาติของน้ำตายามร้องไห้ รู้สึกถึงความน่ากลัวของความตาย รู้สึกถึงความหมายของชีวิต
ผมอยากรู้สึกแบบนั้นอีกสักครั้งจัง...
แหม อ่าน ๆ แล้ว
เหมือนชีวิตบางช่วงของข้าพเจ้าจริง ๆ
อือ ถ้าจะแนะนำว่า
คุณ ควรจะออกเดินทางท่องเที่ยวนะ
ในต่างจังหวัด หรือต่างแดนดู
มันคงจะทำให้คุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
หวังว่า - และเอาใจช่วยเพื่อนคุณ SA ท่านนี้
Cheer! ^o^
สวัสดีจ้าคุณ etc
ขอบคุณมากเลยเน้อ :)
เราเองก็หวังเช่นกันว่าเพื่อนคนนี้ของเรา เค้าจะสามารถค้นพบแรงบันดาลใจบางอย่างที่จะเข้ามาจุดประกายไฟ (ไฟฝัน-ควันรัก) ให้ตัวเค้าเองอีกครั้ง
ถึง "คนขี้เกียจ" ถ้าแวะมาที่ blog นี้ก็ อยากบอกว่าเป็นกำลังใจให้เสมอนะ
ปล. DVD ที่ให้ยืมมายังอยู่สบายดีทุกแผ่นจ้า :)
ชอบมากเลยคะกับคำสารภาพของคนขี้เกียจ อาจจะเพราะเราก็ขี้เกียจบ้างบางเวลา งานหลายอย่างที่ตั้งใจไว้ก็ยังไม่เสร็จในเวลาที่กำหนด แต่เราก็พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันต้องเสร็จน่า...รับรองได้เราจะไม่ให้เสียชื่อหรอก
เราชอบเรื่องที่พูดถึงคนที่มาชอบเราแล้วเราไม่ชอบเขา (แบบคนรัก)จังเลย มันก็จริงนะ ใครๆ ก็อยากให้ผู้อื่นมาทำดีด้วย คุยด้วย ห่วงใย ถามไถ่ แต่ไม่อยากได้คนนี้มาเป็นคนรักนะ ทุกอย่างคงอยู่ที่คำว่า มันไม่ใช่ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาไม่มาคุยด้วยก็จะวูบๆ ไป เราคงต้องการ keep ความสัมพันธ์บางอย่างไว้ เส้นสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราอยากให้เขาเห็นเราสำคัญ แต่ไม่ใช่ระหว่างเรากับเขานะ เออ...นอกจากความขี้เกียจที่จะบอกว่าให้เขาไกลๆ เถอะ ก็คงเพราะความเห็นแก่ตัวอย่างที่คุณว่านั้นแหละ
แล้วการชอบคนที่เราไม่รู้จักก็มีนะ ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยคุยด้วย เห็นกันผ่านตัวอักษร แต่เป็นกำลังใจให้กันดีนะ เรารู้สึกชอบจังเลย ดีใจที่มีคนนั้น
อยู่บ้านดีจริงๆ นะ หลายครั้งเราก็ไม่อยากออกไปไหน (อากาศก็ร้อนด้วย) แต่เพื่อนเราไม่ใช่อย่างเพื่อนคุณคนขี้เกียจนะ ที่ทักว่าอกหักเหรอ เพื่อนเราจะแซวว่าเรามี someone special หรือเปล่า เวลาที่ไม่โทร.คุยกับเพื่อน เพื่อนนัดไปไหนก็รู้สึกขี้เกียจไป ไม่ใช่เลย ไม่มีใครพิเศษหรอก มีคนพิเศษอยู่ที่ตัวเอง ตัวเองนี่แหละพิเศษสุดแล้ว
I got an email from lazy man last night (22/06/05):
-------------------------
ช่วงนี้ มีคนถามบ่อย ว่าช่วงนี้เป็นไงบ้าง
ช่วงนี้ ก็ยังเบื่อๆเหมือนเดิม
ช่วงนี้ งานเริ่มจะเยอะ เพราะจะปิดงบครึ่งปี
ช่วงนี้ ต้องปรับตัวเข้ากับสถานที่และเพื่อนใหม่
วัฒนธรรมใหม่
ช่วงนี้ เครียดเล็กน้อย เพราะยังไม่ชิน
ช่วงที่ผ่านมา ไปเที่ยวตจว.กับเพื่อนที่ฝ่ายใหม่ เหนื่อย
อยากอยู่บ้านมากกว่า
ช่วงนี้ กลับดึกทุกวัน
ช่วงนี้ ไปทำงาน เหมือนซอมบี้ นอนไม่พอ
ช่วงนี้ เลยไปซื้อหนังมาดูให้หายเบื่อ
ช่วงนี้ เลยออกไปดู batman ให้หายเซ็ง
ช่วงนี้ ก็มีขุดวีดีโอที่ไปเที่ยวเก่าๆมาตัดต่อบ้าง
ช่วงนี้ บอลไม่มีเตะ เลยไม่ได้ดูทีวี
ช่วงนี้ เพลง jazz ดีๆออกมาเยอะ เลยหมดตูด
ช่วงนี้ ขับรถดีๆก็มีคนมาชน
ช่วงนี้ เลยต้องยืมรถแม่ขับไปก่อน
ช่วงนี้ แม่เลยต้องอยู่บ้าน (ขอโทษนะแม่)
ช่วงนี้ เลยทำบุญบ้าน เผื่อจะดวงดี
ช่วงนี้ รู้สึกตัวเองอ้วน
ช่วงนี้ เลยพยายามกินข้าวให้น้อยลง
ช่วงนี้ เจ็บหลังทุเลาลงแล้ว
แต่ยังไม่ค่อยกล้าเล่นกีฬาหนักๆในช่วงนี้
ช่วงก่อน เจอใครๆมากมาย
ช่วงนี้ ไม่เจอใคร
ช่วงนี้ เข้าเน็ตก็ไม่ค่อยเจอ
ช่วงนี้ มีหลายคนสงสัยว่าหายไปไหน
ช่วงน้ี คนที่สงสัยก็หายไปเหมือนกัน
สรุปช่วงนี้ ใครๆก็ชอบหายตัวกันไป
ช่วงนี้ ไม่มีใครรู้ข่าวคราวของเรา
ช่วงนี้ เราก็ไม่รู้ข่าวคราวของใคร
ช่วงนี้ มีแต่คนบอกว่า เราไม่ชอบเล่าเรื่องของเรา
แต่ช่วงนี้ก็ไม่มีใคร บอกเรื่องของใครให้เรา
ช่วงนี้ เลยพยายามอยู่กับคนที่อยู่แล้วสบายใจ
ช่วงนี้ คนที่อยู่แล้วสบายใจ หายาก
เพราะใจตัวเองไม่ค่อยสบาย
ช่วงนี้ เลยอยู่คนเดียว กลัวจะเอาโรคไปติดใคร
แต่อีกไม่นาน
คงจะพ้นจากช่วงน่ี้ไปได้
ไว้ช่วงหน้า ค่อยคุยกันใหม่ นะครับ
--------------------
May the force be with you!
Post a Comment
<< Home