There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Oliver Twist

Saturday, November 05, 2005

Oliver Twist


เธอ...

หนูน้อย Oliver Twist ฉบับ Roman Polanski ได้ใจฉันไปเรียบร้อยแล้วล่ะ! Oliver Twist เป็นหนังดราม่าจากวรรณกรรมคลาสสิกของ Charles Dickens อ่ะ...เอาเป็นว่าฉันจะไม่พูดอะไรต่อ รอให้เธอไปพิสูจน์เอาเอง ฉันขอยกเครดิตทั้งหมดให้ผู้กำกับคนนี้

Polanski appears to have been born to make this film. :)

-ฉันเอง

9 Comments:

Blogger solitary animal said...

คัดมาจาก ปรัชญาเปื้อนหมึก โดยบงกช

Charles Dickens : ผู้ต่อสู้กับปีศาจ

บางสิ่งบางอย่างหรือเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตวัยเยาว์มิได้จางหายไปไหน หากแต่กลับเป็นรอยประทับบนชีวิตอย่างยากที่จะลืมเลือน แม้กาลเวลาที่ผ่านไปก็มิอาจทำให้มันลบหายไปได้เพียงแต่เราจะพูดถึงมัน-กล้าสะกิดมันหรือเปล่าก็เท่านั้น

แต่กลับบางคนมันก็ผุดพรายขึ้นเป็นระยะเมื่อมีเหตุการณ์มากระทบประดุจก้อนหินที่โยนไปในสระน้ำแล้วก่อให้เกิดวงคลื่นกระจายบนผิวน้ำโดยอาจปรากฏในรูปแบบของความฝัน-ฝันร้าย หรือแฝงมาในคำพูด หรือหนักไปกว่านั้นคือหล่อหลอมมาในรูปแบบและแสดงออกมาอย่างก้าวร้าวรุนแรง

ทุกสิ่งในปัจจุบันล้วนเหตุปัจจัยมาจากอดีคทั้งสิ้น!

หากแต่นักเขียนเป็นผู้ที่มีความสามารถหรือพรสวรรค์ในการถ่ายทอดประสบการณ์หรือความเจ็บปวดให้มาปรากฏในรูปแบบของวรรณกรรม และโดยคุณสมบัติของวรรณกรรมก็คือเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สามารถสื่อแนวคิด หรืออาจมากไปจนถึงสะท้อนหรือแก้ไขปัญหาสังคมได้

หรือในทางกลับกันแม้อย่างน้อยที่สุดก็เพียงแค่สะกิดสะเกาผู้อ่านได้รับรู้ว่ามีปัญหาสังคมเกิดขึ้น จึงทำให้ทางเลือกในการถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านวรรณกรรมมิเคยสูญเปล่า

ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ (Charles Dickens : 1812-1870) นักเขียนชาวอังกฤษผู้เรืองนามและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิกตอเรียน เป็นผู้หนึ่งที่ใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดประสบการณ์ที่เจ็บปวดออกมาได้อย่างงดงามและสร้างสรรค์ และทำให้เขาเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่มาจนทุกวันนี้

ดิกเก้นส์ ตอนวัย 12 ขวบต้องออกจากโรงเรียนและถูกส่งมาทำงานที่โรงเรียนรองเท้าบูตเพื่อหาเงินสัปดาห์ละ 6 ชิลลิงส์ ช่วยเหลือครอบครัวที่กำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ เนื่องจากบิดาถูกจำคุกเพราะเรื่องหนี้สิน

ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงงานนี้เป็นดุจเงามืดที่เกาะกุมเด็กชายผู้แสนจะอ่อนไหวและเฉลียวฉลาดผู้นี้

ไม่มีใครรู้รายละเอียดของเหตุการณ์ช่วงนั้นเป็นอย่างไร เพราะเขามิเคยปริปากบอกใครราวกับพยายามจะลบเลือนมัน...ว่ากันว่าแม้แต่คนที่รู้จักหรือรักเขามากที่สุดหรือคนในครอบครัวของเขาเองก็ยังไม่มีใครรู้รายละเอียดที่ลึกซึ้ง

แต่ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว เขาจะรู้หรือไม่ก็ตามว่านักวิชาการผู้ถนัดในการวิเคราะห์ชีวิตผู้อื่นต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในสถานที่นั้น แต่มันได้ส่งผลกระทบมาถึงผลงานการเขียนของเขาที่มีลักษณะเด่นและมุ่งมั่นในการต่อสู้กับพวกปีศาจ ความอยุติธรรมและความเสแสร้งในสังคม

อีกทั้งความยากจนในวัยเยาว์ ความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งก็ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนะของดิกเกนส์ที่มีต่อสังคมและโลกที่เขาสร้างขึ้นในวรรณกรรมของเขา

ไม่เพียงผลงานด้านวรรณกรรมเท่านั้น ดิกเกนส์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตออกเดินทางและรณรงค์ให้ผู้คนหันมาต่อต้านปีศาจสังคมในยุคของเขาด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบทั้งการปาฐกถา การอ่าน การเขียนแผ่นพับ บทละคร และจดหมาย

เขาเป็นผู้หนึ่งที่สามารถนำประสบการณ์ที่ขมขื่นมาต่อยอดให้เบิกบานเป็นชีวิตที่สร้างสรรค์สังคมได้อย่างสง่างามและน่ายกย่อง

ไม่ว่าประสบการณ์ที่มนุษย์ได้รับจะเป็นเช่นใด หากแต่การนำมันมาใช้ต่างหากเล่าที่สำคัญกว่า

Saturday, November 05, 2005 9:09:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

คงต้องหาโอกาสเลิกงานเร็วไปดูสักวัน

หลายปีก่อนได้ดูฉบับที่เป็นหนังเพลง (ชื่อ Oliver!) ที่เขาเอามาฉายทาง HBO
สนุกสนานใช่ย่อยทีเดียว

Monday, November 07, 2005 8:27:00 AM  
Blogger solitary animal said...

คุณคนขี้เซาฯ - ถ้ามีโอกาสได้ดู Oliver Twist ฉบับ Roman Polanski แล้ว อย่าลืมแวะมาสนทนากันนะคะ มี 2-3 ฉากภาพสวยมาก เราช้อบ ชอบบบ :)

Monday, November 07, 2005 8:31:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

ไปดูมาแล้วเหรอ

ข้าพเจ้าว่าจะไปอาทิตย์หน้านี้หละ


ว่าแล้ว คุณ Sa
ไปดูเรื่อง 3 iron แล้วยังอะ
ใช้ได้นะ

Monday, November 07, 2005 5:16:00 PM  
Blogger solitary animal said...

K.Etc ยังไม่ได้ดูเลย 3 iron เอาไว้จะหาแผ่นมาดูนะจ้ะ ท่าทางเหมืแนจะโป๊นิดๆ ใช่ป่าว ฮิฮิ :)

Tuesday, November 08, 2005 7:27:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

ตอนแรกก็คิดว่าอย่างนั้นแหละคับ
แต่ พอไปดู ไม่โป๊ เลยยยยยยยยยยยยยยยย
:/

พร้อมกันนั้นก็ได้ดู The Shape of Things มาดูแล้วก็อื้ง ๆ เพราะจบได้ แบบต้องตั้งคำถามว่า

She loved me - not

ไปหาดูเองละกันเน้อ : )

Tuesday, November 08, 2005 12:29:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

พอทราบว่าเราชอบดูหนังดราม่า
เจ้าเพื่อนตัวดี ก็ทำหน้าเบ้
"หนังคุยกันทั้งเรื่อง สนุกตรงไหน"

เลยแนะนำให้มันไปดู 3-iron
รับรอง ไม่คุยกันทั้งเรื่องแน่

หนอย ดูจบ พาลมาบ่นอีก

"หนังที่ให้ไปดูน่ะ มันไม่คุยกันจริงๆว่ะ
มันไม่คุยกันเลยทั้งเรื่อง
พระเอกไม่พูดสักคำ
นางเอกพูดแค่ประโยคเดียว"

"แล้วชอบไหมล่ะ?" เราย้อน

"ไม่รู้ดิ แต่นับถืออีตาผู้กำกับจริงๆ ขนาดไม่คุยกันเลย แต่กลับดูรู้เรื่อง แถมยังทำได้น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ"

สงสัย คิมคีดุก จะบรรลุไปอีกขั้นนึงแล้วมั้ง....

Wednesday, November 09, 2005 7:51:00 AM  
Blogger solitary animal said...

เอ๊ะ คุณ Blog Traveller อีตาคิมคีดุก นี่ใช่ที่กำกับ Summer Spring Winter Fall อะไรนั่นป่าว (โทษทีนะ เราจำชื่อเรื่องไม่ได้ไม่รู้ฤดูไหนมาก่อนมาหลังอ่ะ) เรื่องนั้นก็ไม่มี dialogue เหมือนกันนิ แต่เจ๋งมากเลยยยย

Wednesday, November 09, 2005 8:00:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

แม่นแล้ว :)

Spring Summer Fall Winter...
and Spring

Wednesday, November 09, 2005 5:25:00 PM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook