There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Man's Search in Thai!

Saturday, August 19, 2006

Man's Search in Thai!



























เตรียมพบกับ Man's Search for Meaning ในฉบับภาษาไทย ในชื่อ มนุษย์ ความหมาย และค่ายกักกัน โดย สำนักพิมพ์ โอ้พระเจ้า ได้แล้วในไม่ช้า !

www.ohmygodbooks.com

2 Comments:

Blogger solitary animal said...

แวะเอาบทนำของหนังสือเล่มนี้มาฝากค่ะ

คัดมา : www.ohmygodbooks.com

Man’s Search for Meaning : บทนำ



โดย กอร์ดอน อัลพอร์ท ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยามหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และบรรณาธิการวารสาร Journal of Abnormal and Social Psychology

=========================

บางครั้งบางคราว ดร.แฟรงเกิล ผู้เป็นทั้งนักเขียนและจิตแพทย์ก็เคยถามบรรดาคนไข้ที่ต้องประสบกับความทุกข์ทรมานหลากหลายรูปแบบมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงทุกข์ทรมานแสนสาหัสว่า



“ทำไมคุณถึงไม่ฆ่าตัวตาย ?”



บ่อยครั้งทีเดียวสิ่งที่เขาได้จากคำตอบของคนไข้เหล่านี้ ได้ให้แนวทางการบำบัดทางจิตแก่เขาว่า ในบางกรณีความรักที่มีต่อบุตรคือเครื่องผูกพันเหนี่ยวรั้งคนๆ นั้นไว้ ในบางกรณีสาเหตุเป็นเพราะเขามีความสามารถพิเศษที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และในอีกกรณีหนึ่งอาจเป็นเพราะอย่างน้อย ความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ควรค่าแก่การถนอมรักษาไว้



และการจะประสานนำเอาเสี้ยวเศษชีวิตที่ย่อยยับแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาประกอบเชื่อมโยงจนเป็นชีวิตที่มีความหนักแน่นมั่นคง เต็มไปด้วยความหมายและความรับผิดชอบถือเป็นวัตถุประสงค์และความท้าทายของแนวทางโลโกเธราพีหรือการบำบัดด้วยความแสวงหาความหมาย (Logo Therapy) ซึ่งเป็นรูปแบบการวิเคราะห์การดำรงอยู่สมัยใหม่ตามทัศนะของ ดร.แฟรงเกิล (Existential Analysis)



ภายในหนังสือเล่มนี้ ดร.แฟรงเกิลได้อธิบายประสบการณ์ชีวิตซึ่งนำไปสู่การค้นพบวิธีการบำบัดด้วยการหาความหมายของเขา ในฐานะที่ตัวเขาเองเคยเป็นเชลยสงครามในค่ายกักกันอันโหดเหี้ยมทารุณอย่างยาวนาน ถึงขนาดไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ น้องชาย และภรรยา ต่างเสียชีวิตในค่ายกักกันหรือมิฉะนั้นก็ถูกส่งเข้าห้องรมแก๊ส ครอบครัวของเขาทุกคนยกเว้นเพียงน้องสาวคนเดียวเท่านั้น ล้วนแล้วแต่ต้องพลัดพรากตายจากกันในค่ายกักกันเหล่านี้ทั้งสิ้น



เขา…ผู้ซึ่งสูญสิ้นสมบัติทั้งปวง สิ่งมีค่ามีราคาทุกอย่างถูกทำลายจนหมดสิ้น ต้องทุกข์ทรมานกับความหิวโหย ความหนาวเหน็บและความโหดร้ายทารุณทุก ๆ ชั่วโมง ได้แต่เฝ้ารอรับการเข่นฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ทุกชั่วโมง



ทว่า…เขายังเห็นชีวิตเป็นสิ่งมีค่าคู่ควรแก่การรักษาไว้ได้อย่างไร ?



จิตแพทย์ผู้ซึ่งประสบกับความโหดร้ายทารุณมากมายขนาดนี้ เป็นจิตแพทย์ผู้ควรค่าแก่การรับฟัง



ถ้าใครควรจะมีมุมมองต่อเงื่อนไขสถานการณ์ที่มนุษย์ต้องประสบด้วยความเห็นอกเห็นใจและมีแง่คิดเฉลียวฉลาดก็ควรจะเป็นเขาคนนี้



คำพูดของ ดร.แฟรงเกิล เปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมาอันเด่นชัด เพราะอิงอยู่กับประสบการณ์ที่ประทับฝังใจลึกเกินกว่าจะปั้นเรื่องให้คนคล้อยตาม สิ่งที่ ดร.แฟรงเกิลพูดมีอิทธิพลมาก สืบเนื่องมาจากตำแหน่งในคณะแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวียนนาในปัจจุบันของเขา และเพราะคลินิกบำบัดรักษาด้วยการเน้นความหมายแห่งการดำรงอยู่อันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ที่ปัจจุบันนี้ได้แพร่กระจาย ได้รับความนิยมในหลายประเทศล้วน ดำเนินงานตามแนวทางโปลิคลินิกด้านประสาทวิทยาในกรุงเวียนนาที่มีชื่อเสียงของเขาเอง



ใครก็คงอดเปรียบเทียบแนวทางบำบัดรักษาของ วิคเตอร์ อี.แฟรงเกิล กับทฤษฎีและการบำบัดทางจิตตามแนวทางของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยารุ่นก่อนเขาไม่ได้



นักจิตวิทยาทั้งสองให้ความสนใจกับลักษณะและการบำบัดรักษาอาการทางโรคประสาทเป็นสำคัญเหมือนกัน ฟรอยด์ค้นพบรากเหง้าความว้าวุ่นกลัดกลุ้มเหล่านี้ในอาการวิตกกังวล ซึ่งมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากแรงจูงใจที่มีลักษณะขัดแย้งกันเองและอยู่ในระดับลึกกว่าจิตสำนึก



ส่วนแฟรงเกิลได้แยกแยะลักษณะความแตกต่างของโรคประสาทหลากหลายรูปแบบด้วยกัน จากนั้นก็สืบสาวสาเหตุต้นตออาการบางอย่าง ไปถึงความล้มเหลวของคนไข้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อนำไปสู่การค้นพบความหมายและสำนึกแห่งความรับผิดชอบในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปของคนไข้



ในขณะที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ตอกย้ำเรื่องภาวะคับข้องใจในชีวิต เพศสัมพันธ์ แต่วิคเตอร์ แฟรงเกิล ย้ำความคับข้องใจในส่วนของ “เจตจำนงเพื่อหาความหมาย”



ปัจจุบันนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป มีแนวโน้มหันเหจากทฤษฎีและการบำบัดทางจิตด้วยวิธีของฟรอยด์ มายอมรับการวิเคราะห์การดำรงอยู่ของ วิคเตอร์ แฟรงเกิล อย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งการวิเคราะห์การดำรงอยู่ จะมีรูปแบบที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือสำนักจิตบำบัดด้วยวิธีค้นหาความหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเปิดกว้างของวิธีการบำบัดแบบของแฟรงเกิลที่ไม่ปฏิเสธแนวคิดของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ แต่รังสรรค์จากผลงานที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ มอบให้แก่สังคม รวมทั้งไม่เถียงทะเลาะกับการบำบัดเพื่อการดำรงอยู่รูปแบบอื่น ๆ แต่กลับอ้าแขนต้อนรับอย่างดี



การบรรยายในหนังสือเล่มนี้ถึงจะสั้น หากก็เปี่ยมด้วยการเชื่อมโยงเนื้อหาสาระอย่างมีศิลปะและมีสาระอันจับใจ ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือนี้รวดเดียวจบถึง 2 ครั้งด้วยกัน เพราะไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้ เนื่องจากเนื้อหานั้นเหมือนมีมนต์สะกด ให้ต้องอ่านไปเรื่อย ๆ จนจบ ในบางช่วงและกึ่งกลางของเรื่อง ดร.แฟรงเกิลได้แนะนำหลักปรัชญาของการบำบัดรักษาด้วยวิธีแสวงหาความหมายของเขา โดยแนะนำแนวทางนี้สอดแทรกในการบรรยายได้อย่างละเมียดละไมมากเสียจน หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วนั่นแหละ ผู้อ่านจึงตระหนักว่า นี่คืองานร้อยแก้วที่มีความลึกซึ้งกินใจ ไม่ใช่แค่การบอกเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายทารุณของค่ายกักกันเชลยสงครามอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น



จากเสี้ยวหนึ่งของชีวประวัติผู้เขียนในหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะได้เรียนรู้อะไรมากมาย ผู้อ่านจะได้เรียนรู้ว่า เมื่อจู่ ๆ คนเราได้สำนึกว่าตนเองนั้น…



“ไม่มีสิ่งใดจะสูญเสียยกเว้นชีวิตที่ไม่เหลืออะไรเลยของเขาแล้ว” มนุษย์เราจะทำอะไรได้บ้าง



การบรรยายถึงสภาวะอารมณ์หลากหลายคละเคล้า และความเฉยชาไม่ยินดียินร้ายของแฟรงเกิล เป็นสิ่งที่จับความสนใจอย่างยิ่ง



กลไกแรกสุดที่เขานำมาช่วยเหลือมนุษย์ก็คือ ภาวะเย็นชาไร้ความรู้สึกวิตกทุกข์ร้อนกับชะตาชีวิตของตนเองแปลก ๆ ต่อจากนั้นก็เกิดกลยุทธ์เพื่อสงวนรักษาชีวิตส่วนที่เหลืออยู่เอาไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางโอกาสที่จะมีชีวิตรอดเพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นความหิว…ความอัปยศอดสู…ความหวาดกลัว และความโกรธแค้น ความอยุติธรรมที่ได้รับล้ำลึกในใจ ล้วนเป็นสิ่งที่พอจะทนได้ด้วยการหมั่นนึกถึงภาพของบุคคลอันเป็นที่รักไว้ช่วยเยียวยาจิตใจ มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและโดยความมีอารมณ์ขัน เปี่ยมด้วยความกล้าหาญไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แม้กระทั่งการได้เห็นความงดงามของธรรมชาติ อย่างต้นไม้สักต้นหรือภาพพระอาทิตย์ตกดินเพียงแวบเดียว ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตอันหนักหนาสาหัสสากรรจ์กลายเป็นสิ่งที่พอจะทนได้บ้าง



แต่ช่วงเวลาแห่งการเยียวยาปลอบใจเหล่านี้ ไม่อาจสร้างความต้องการจะมีชีวิตอยู่ จะช่วยได้ก็แต่เพียงให้ชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ดูแล้วเหมือนไร้ความหมายใด ๆ ของเชลยสงคราม พอจะมีความหมายขึ้นมาบ้างเท่านั้น



… ตรงจุดนี้เอง… ที่เราได้ค้นพบแก่นแท้ของการดำรงอยู่

สิ่งนั้นก็คือ…การมีชีวิตก็คือความทุกข์

การจะมีชีวิตรอดหมายถึง การต้องค้นหาความหมายในระหว่างประสบทุกข์

ถ้าในชีวิตหนึ่งมีจุดมุ่งหมาย ฉะนั้นในความทุกข์ทรมานและความตายก็ต้องมีจุดมุ่งหมายเช่นกัน


ทว่ามนุษย์คนหนึ่งไม่สามารถบอกมนุษย์อีกคนได้ว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเขาคืออะไร คนแต่ละคนจะต้องค้นหาสิ่งนั้นด้วยตัวเขาเอง และจะต้องยอมรับหน้าที่ความรับผิดชอบจากคำตอบที่ได้รับ

ถ้าเขาทำสำเร็จ…เขาก็จะพัฒนาตนเองยิ่งขึ้น แม้ในท่ามกลางภาวะเสื่อมสิ้นเกียรติศักดิ์ศรีทั้งมวล



แฟรงเกิลชอบหยิบยกคำพูดของปราชญ์นิตช์เช ขึ้นมากล่าวเสมอ ประโยคที่ว่า



“บุคคลผู้มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปย่อมสามารถอดทนต่อสภาพที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดได้เกือบทุกอย่าง…”



ในค่ายกักกันนั้น สภาพแวดล้อมทุก ๆ อย่างล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกดดันเชลยให้สิ้นหวังทอดอาลัยกับชีวิต เป้าหมายในชีวิตทุกอย่างที่เคยคุ้นถูกพรากไป…



สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ “อิสระรูปแบบสุดท้ายของมนุษย์…” สิ่งนั้นก็คือ “ความสามารถที่จะเลือกมุมมองความคิดที่มีต่อสถานการณ์จำเพาะบางอย่าง”



อิสรภาพขั้นสูงสุดนี้ (ซึ่งเป็นสิ่งที่นักปรัชญาสโตอิกโบราณผู้ไม่ยึดถือทุกข์สุขมาเป็นอารมณ์และนักปรัชญาสายอัตถิภาวนิยมยุคใหม่ได้ให้ค่า) เห็นได้อย่างชัดเจนจากสาระสำคัญในเรื่องราวของแฟรงเกิล



บรรดาเชลยในค่ายกักกันก็เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่ก็มีบางคนได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของการมีชัยเหนือโชคชะตารุมเร้าภายนอก โดยเลือกที่จะ “ทำให้ชีวิตมีค่าคุ้มกับความทุกข์ทรมานที่เผชิญอยู่”



และในฐานะที่ผู้เขียนเองก็เป็นนักบำบัดทางจิตคนหนึ่งด้วย เขาจึงอยากรู้ว่ามนุษย์จะได้รับการช่วยเหลือให้บรรลุศักยภาพอันเด่นล้ำของมนุษยชาตินี้ได้อย่างไร เราจะกระตุ้นความรู้สึกในตัวคนไข้ที่มารับการบำบัดว่า เขามีความรับผิดชอบบางอย่างต่อชีวิต ไม่ว่าสถานการณ์ที่เผชิญอยู่จะเลวร้ายสาหัสขนาดไหนก็ตามได้อย่างไร ?



ดร.วิกเตอร์ แฟรงเกิล ได้มอบบันทึกการบำบัดรักษาที่เขาปฏิบัติต่อเพื่อนเชลยศึกในค่ายกักกันอันมีเนื้อหาชวนให้ซาบซึ้งสะเทือนใจแก่เรา เพื่อเป็นแนวทางให้การช่วยเหลือดังกล่าว



และจากการขอร้องของสำนักพิมพ์ ดร.แฟรงเกิลจึงเพิ่มเติมหลักการพื้นฐานของวิธีบำบัดทางจิตด้วยการเน้นความหมายรวม ทั้งให้รายชื่อบรรณานุกรมสำหรับการค้นคว้าต่อไปอีกด้วย ซึ่งจนถึงบัดนี้การพิมพ์แนวทางบำบัดรักษาของ “สำนักบำบัดทางจิตสำนักที่สามของชาวเวียนนา” ส่วนใหญ่ (สองสำนักก่อนหน้านั้นก็คือสำนักคิดตามแนวของฟรอยด์และแอดเลอร์) มักมีการตีพิมพ์อยู่ในเยอรมัน ดังนั้นผู้อ่านคงยินดีกับส่วนที่ ดร.แฟรงเกิลเพิ่มเติมให้แก่การบรรยายประสบการณ์ส่วนตัวของเขานี้



ดร.แฟรงเกิลไม่เหมือนกับนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมชาวยุโรปจำนวนมาก เพราะเขาไม่ใช่ที่คนมองโลกในแง่ร้ายรวมทั้งไม่ได้ต่อต้านศาสนา ตรงกันข้าม ในฐานะที่เขาเป็นนักเขียนผู้เผชิญกับความทุกข์ทรมานและความเลวร้ายแสนสาหัส เขากลับมีมุมมองเต็มไปด้วยความหวังอย่างน่าแปลกใจ ในลักษณะของมนุษย์ผู้มีศักยภาพจะนำพาตัวเองผ่านพ้นอุปสรรค ความยากลำบากหนักหนาสากรรจ์ทั้งหลายทั้งปวง จนได้ค้นพบสัจธรรมนำทางชีวิตที่เหมาะสม



ข้าพเจ้าขอแนะนำหนังสือเล่มเล็กนี้สุดหัวใจ เพราะเป็นงานร้อยแก้วชิ้นเอก บรรยายเรื่องได้อย่างเห็นภาพพจน์ มีจุดเน้นที่ปัญหาส่วนลึกที่สุดของมนุษยชาติทุกคน ทรงคุณค่าทั้งในแง่ของงานวรรณกรรมและปรัชญา ตลอดจนแนะนำแนวทางจิตวิทยาที่มีนัยสำคัญมากที่สุดในยุคปัจจุบันของเรา ด้วยการบรรยายเชิงสาธกโวหารอันตรึงใจ

==================


:)

Wednesday, August 23, 2006 10:35:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับหนังสือดี ๆ

Thursday, August 31, 2006 12:28:00 PM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook