There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Reality of Inreality

Tuesday, November 23, 2004

Reality of Inreality



เชิญเลย คุณนฤพนธ์ ซี The Man of Word Power : MWP
กระทู้นี้ขอให้คุณ MWP ช่วยแลกเปลี่ยนทัศนะในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ให้ผู้ที่ผ่านมาผ่านไปแถวนี้ได้สดับตรับฟังบ้าง

หลายๆ เรื่อง ฟังแล้วกินใจมากๆ เลย เช่น น้ำแดงโซดา ขนมปังนมข้นหวาน มะม่วงสุก ฯลฯ
ส่วนเรื่องเพื่อนๆ ลงลิฟต์ ไม่รู้จะตั้งกระทู้ยังไง จะใส่ไปในนี้เลยก็ได้จ้า ชอบๆๆ (เราว่ามันทำให้ได้แง่คิดเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ในแบบต่างๆ หลากหลายดี)

ป.ล. คุณนฤพนธ์เป็นผู้เลือกให้นำรูปถ่ายนี้มาประกอบกระทู้ โดยให้เหตุผลว่ารูปถ่ายนี้สะท้อนถึงภาวะที่เป็น Reality of Inreality ของตัวเองมากที่สุด อย่างไรก็ดี เราต้องขออภัยที่ได้ทำการปรับเปลี่ยนสี (ให้เป็น sepia) และเพิ่มความสว่างเล็กน้อย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความลงตัวมากที่สุด (โดยไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ของ weblog แห่งนี้) จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

15 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณไก่ ที่เอื้อเฟื้อพื้นที่ และความใจกล้าที่เปิดกระทู้กว้างขนาดนั้นให้เรา ไก่ควรจะมองว่าบางทีมันก็มีความเสี่ยงแฝงอยู่นะจ๊ะ แต่แน่นอนล่ะ นี่เเค่เพียงต้องการจะบอกว่าทุกวินาทีที่เราหายใจล้วนแต่มีความเสี่ยงอยู่รอบๆตัวเราไปพร้อมๆกัน เปล่าไม่ได้มาขายประกันความเสี่ยงนะ แต่นักขายประกันทั้งหลายจะเอามุขนี้ไปใช้ก็ไม่ว่ากันนะครับ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับ WPM ดีเหมือนกันจะได้เอาไว้ใช้สลับกับ TSL (Tai Sood Lor) ซึ่งก็ทั้งสอง initial นั่นแหล่ะที่เป็นตัวอย่างที่ดีของ The Reality of Inreality.

ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงเพราะเกิดมาไม่ใช่นักเขียน ไม่แน่ใจว่าชอบเขียนหรือเปล่า รู้แต่ว่าชอบขีดกับวาด มันต่างกันนะครับ ขีดกับวาดเป็นการสื่อให้ผู้พบเห็นเข้าใจสิ่งที่เห็นไปตามความคิดและประสบการณ์ที่คนมีมาไม่เหมือนกันและก็สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผู้ขีดหรือวาดอยากจะให้เข้าใจ แต่เขาไม่ได้บังคับกัน นั่นหมายถึงว่าแต่ละคนก็มีสิทธิ์ คิดได้ต่างกันโดยไม่ผิด แต่การเขียนเป็นการอธิบายและพยายามให้ผู้อ่านคล้อยตามและเข้าใจตามนั้นห้ามเข้าใจผิดไปจากนั้น นั่นและผมว่าเป็นที่มาของวิชาอ่านเอาเรื่อง ย่อความ หรือหนังสือนอกเวลาต่างๆที่เราต้องอ่านและสอบ เห็นความแตกต่างไม๊ครับ เอาละสิ่ นี่ผมกำลังเขียนเพื่อให้ทุกคนคล้อยตามหรือนี่.....

อยากจะเริ่มจากคำถามที่หลายคนคงเคยได้ยิน "ส้มบางไหนหวานที่สุด" คำตอบก็คือ ส้มบางลูกไง แต่ไม่เคยมีใครถามว่า "มะม่วงบางไหนหวานที่สุด" เพราะว่ามันมีหลายสาเหตุที่ทำให้มะม่วงหวานต่างกัน อาจจะเป็นเพราะพันธุ์ของมัน หรือใครเคยคิดบ้างว่าเป็นเพราะวิธีการที่ทำให้มะม่วงสุกก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันหวานต่างกัน ความสุกของมะม่วงจะเปรียบไปแล้วก็คล้ายกับความสุขของคนเรานี่เอง ถ้าความสุขนั้นเกิดตามธรรามชาติเหมือนมะม่วงสุกปากตระกร้อ มันจะหวานตั้งแต่ปลายลิ้นจนถึงโคนลิ้นเชียวล่ะ เเต่ถ้ามันเป็นความสุขที่เราบรรจงแต่งขึ้นมาหรือนิยามขึ้นมา บางครั้งผมว่าปล่อยให้มะม่วงมันแก่ และห่ามไปตามเวลา และสุขในที่สุดน่าจะหวานกว่านะ แต่ลองมาคิดดูอีกทีบางครั้งถ้าสุกมากไปก็ไม่อร่อย เหมือนกับที่คนเรามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว คนอื่นมองน่าจะหอมหวาน แต่กลับไม่มีความสุข ลองกลับไปทบทวนดูใหม่แล้วคุณจะพบว่า มะม่วงบางพันธุ์ เขากินตอนดิบอร่อยกว่า เพราะมันมีรสชาดดี อย่างนี้นี้เองที่มนุษย์ทุกคนรวมทั้งตัวผมด้วยที่บางครั้งก็สับสนว่า เราชอบมะม่วงดิบหรือความสุขตามธรรมชาติกันแน่.....สุกสุขดิบ ดิบ 24 พ.ย. 2547 / WPM

Wednesday, November 24, 2004 2:43:00 PM  
Blogger solitary animal said...

Terrific!

Wednesday, November 24, 2004 4:18:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

...หลังจากที่คุยกับไก่ ก็รู้สึกได้ถึงความหลงตัวเองของตัวเราเอง จริงๆแล้วก็รุ้มานานแล้วล่ะว่าหลงตัวเอง บางคนก็ว่าดีนะทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง บางคนก็ว่าไม่ดีน่าหมั่นไส้ บางคนก็ว่าดีเพราะว่าทำให้เรามีความหวังและเป็นแรงบันดาลใจตลอดจนไปถึงความมุ่งมั่นต่างๆ บางคนก็ว่าไม่ดีเหมือนกับว่าไม่ยอมรับความจริง อยากจะบอกว่าก็นี่แหละความจริงที่ไม่จริง The Reality of Inreality...

จากเรื่องของการหลงตัวเอง ไม่ได้ดีใจที่เรารู้และเข้าใจตัวเองว่าเราเป็นคนหลงตัวเอง แต่มันมีความรุ้สึกหนึ่งที่ภูมิใจมากก็คือ มีทั้งเพื่อนที่เรียนสมัยเด็กๆ ป.ตรี และ ป.โท ต่างก็มาพูดให้เราฟังว่าเราหลงตัวเอง เพื่อนที่ทำงานตั้งหลายแห่ง ลูกน้องอีกตั้งหลายคนที่มาบอกในสิ่งเดียวกัน ความรู้สึกภูมิใจที่ว่านี้ก็คือ ทุกคนเปิดเผยและตรงไปตรงมากับเรา กล้าที่จะบอกเรา แต่ไม่ได้เกลียดเรา แสดงว่าเรา approachable มันดีมาก ดีกว่าเหตุการณ์ที่เคยเห็นมาซะอีก เหตุการณ์ที่ใครสักคนหมั่นไส้ในความหลงตัวเองของใครอีกคน แต่ไม่กล้าจะบอกเขา แต่มานินทาลับหลัง รวมกลุ่มกันว่า หรือไปว่าให้เพื่อนตัวเองฟัง ทำอย่างนี้แล้วมันจะสร้างสรรยังไง ยังไม่เข้าใจ...ถึงตอนนี้ต้องขอบคุณไก่อีกครั้งที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมบอกเราอยู่เป็นนิจว่า...แกมันหลงตัวเอง / หลงตัวเอง 25 พ.ย.2547 / TSL

Thursday, November 25, 2004 1:43:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ขอบคุณจริงๆ เลยคุณ TSL สำหรับข้อความดีๆ เดี๋ยวเราจะ email ไปบอกติ๊กที่ลอนดอนให้เข้ามาแจมที่ blog นี้ แต่เราว่าติ๊กต้องคิดว่า TSL มาจาก Tai Sood Lao แน่ๆ เลย ก๊ากส์ เรารู้ใจติ๊กน่ะ ;-) ส่วนยุ่งกะปู ยังหาทางเข้า blog นี้ไม่ได้เลยอ่ะ ต่ายช่วยที...

วันลอยกระทงที่ผ่านมา อย่างที่รู้เราไปเดินเล่นอู้งานอยู่ที่จ.สุโขทัย อากาศดีมากๆ เลยจ้า โลกมันกลมมาก ดันไปเจอ อะระ (เด็ก stat ไง แล้วก็เป็นเพื่อนที่สายน้ำผึ้งห้องเดียวกะเราด้วย) พักที่รีสอร์ทเดียวกันอีก ห้องก็อยู่ติดๆ กัน อยู่กรุงเทพ ไม่เจอกันเป็นปี แต่ดันมาเจอที่นี่...

วันนี้ ไม่มีประเด็นอะไรจะมาถกกับต่ายหรอกนะจ้ะ แต่มีเพลงดีๆ เพราะๆ เพลงนึง
คำร้องเค้าไพเราะ ความหมายกินใจดีน่ะ...ว่ามั๊ย

วันเวลาหมุนเปลี่ยนเวียนไป
สิ่งสดใสไม่เคยเดินตาม

วันเวลาหมุนเปลี่ยนโมงยาม
ตามทับถมแต่ความทุกข์ทน

ในความเหงาเปลี่ยวกมล
เอาความฝันของฉันต่อเติม

บางเวลาได้มาช่วยเสริม
สานเป็นความสดใส
ไม่มากมาย ... ให้แค่มี

มีความหวังเป็นทางสร้างทำ
มีความช้ำเป็นกำลังใจ

เอาความจริงที่แตกสลาย
ใส่เบ้าหลอมรวมเป็นพลัง

เอาความเลวที่เกาะเกรอะกรัง
กลั่นมันทิ้งกลิ้งเป็นตะกอน

เอาน้ำตาที่เคยเปียกหมอน
ไปราดรดร่างคนรุ่มร้อน
ให้ชุ่มเย็นไม่ย่ำยี

ฝันนั้นล่องลอย...ดุจหิ่งห้อยแสงริบหรี่
ฝันนั้นยังมี...สิ่งสดใสในคืนเดือนดับ

รอตะวันรุ่งราง
จะลาลับไม่รบกวน
ยามคุณร้าวรัญจวน
ก็จะหวนแสงหิ่งห้อย
ร้อยเรืองรองในคืนข้างแรม

Sunday, November 28, 2004 10:00:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

She will be loved;
You will be loved;
We will be loved;
They will be loved;
He will be loved;
and I will be loved;

By whom?

The answer of this question is why we are living for...

Where has every love gone? / 30 Nov 2004/ WPM

Tuesday, November 30, 2004 8:21:00 AM  
Blogger solitary animal said...

There is only one question:

What would love do now?

Tuesday, November 30, 2004 2:17:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

Easy question, Love does live where we do live...

Where we are, where love is...

30 Nov 2004/ WPM

Tuesday, November 30, 2004 3:53:00 PM  
Blogger solitary animal said...

คุณ WPM ยังไม่ได้ตอบคำถามของเราเลย
What would love do now?

คุณ WPM เคยได้ยินคำถามเชยๆ อันนึงมั้ย ความรักคืออะไร
หลายคนพยายามให้นิยามของคำๆ นี้ แล้วเอาเข้าจริงๆ เมื่อมาเชื่อมโยงกับหัวข้อกระทู้นี้ Reality of Inreality เราเลยรู้สึกว่าบางทีเราก็ใช้คำว่า "ความรัก" เป็นอะไรซักอย่างที่มันไม่จริง และบางทีคำๆ นี้ก็ดูมีพลังมากพอที่จะนำเข้ามาใช้เพื่อเป็นพันธนาการสำหรับบางสิ่งบางอย่าง (งงๆ มั๊ย เราว่าเราเขียนเองก็งงเองนะ)
สรุปว่าหลายๆ ครั้ง ตัวเราเองก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่ในมายาภาพของคำว่า "ความรัก" โดยไม่รู้ตัว...

ป.ล. คุณ WPM เคยบอกคำว่ารักกับผู้หญิงไปแล้วกี่คน จำได้มั๊ย (กระเทยไม่นับนะ)

Tuesday, November 30, 2004 4:22:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ไปเจอบทความดีๆ มาโดยบังเอิญ (บังเอิญจริงๆ)
Is This Love? A Closer Look
How do you know when you've found your soulmate?
by Bob Narindra

One of the most common questions we get asked is "How do you know if it is really love?" Well, as you can imagine, this also happens to be one of the most difficult questions to answer! Love is such a strange, wonderful thing that nobody really has codified what it is yet. And to further complicate matters, there are so many different kinds of love: the love you feel for a friend, a family member, a sport or even a pet. This is such a crazy emotion that there is absolutely no way that I can definitively answer how you know it is love… but I am going to give it a try!

Now, in order to find out if you love someone, the basic place to start would be to ask yourself, do you want to be with them? If the answer to that question is no, then it really can't be love. When you love someone, you want to be with them. Not just be with them, but share everything with them. You have a great day at work and want to rush home and tell them every wonderful thing that has happened. You feel excited at the prospect of just being in their company, just being close to them isn't enough, you want to be a part of them, a part of their life forever. You can't stand the thought of being away from them yet, when you are, you still feel that ever-present bond that ties you together wherever you go. You can almost feel what they are feeling. You feel like, with a little bit of effort, you can see what they are seeing and think what they are thinking. It is almost as if you both can occupy each other's bodies with complete trust and harmony. That to me is love.

Now, on the other side of the spectrum, there are a host of emotions that people confuse with love. One of the most common is lust. There is a difference between wanting to sleep with someone and wanting to spend the rest of your life with someone.

Being overly dependent on the other person is also not a part of love. Some people fall into the trap of thinking they love someone just because they are afraid to be alone. They have become dependent on the other person for so much that they don't know how to make it on their own, or they would much rather be with someone than no-one.

This leads to the old cliché, in order to love someone else, you must first learn to love yourself. Well, we've all heard that before, but what does it really mean? It means that you have to be confident in your own ability and your own judgement. You really have to like yourself and know what you have to offer another person. There is no way that you can love another person if you are so stuck in your own hang-ups that you bow down and propitiate to the other person. That is, you do anything they ask and agree with everything they say out of fear that they will love you less because you don't do those things.

Basically, the question of whether or not you are in love with someone is pretty cut and dry: you either are or you aren't… and deep down, you know the answer. You just have to trust yourself to recognize it.

Wednesday, December 01, 2004 3:42:00 PM  
Blogger solitary animal said...

เมื่อกี๊ เข้าไปอ่านกระทู้ในเวปลานธรรม มีคนๆ นึงมาโพสต์เรื่อง "อุบายสู้กาม" เห็นว่าดีและมีประโยชน์ (โดยเฉพาะคนที่กิเลศหนาอย่างเราๆ ท่านๆ) เลยขออนุญาตคัดลอกมาไว้ที่นี่ เอาไว้อ่านกัน--

๑๗. อุบายสู้กาม

เมื่อสัปดาห์ก่อน มีเมล์ถามปัญหาเกี่ยวกับกามราคะ โดยผู้ถามอยากจะถามในกระทู้ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาแต่ไม่กล้าถาม ได้อ่านด้วย ผมจึงรับอาสามาตั้งกระทู้ตอบให้เสียเอง เพราะผู้ถามเป็นผู้หญิง

ประเด็นของเธอก็คือ เธอสังเกตเห็นว่า เมื่อมีโทสะแล้ว มักจะพบกามราคะตามมาเสมอ โทสะนั้นเธอคิดว่าพอสู้ได้ แต่กามราคะ ยังเป็นสิ่งที่เธอพ่ายแพ้ จึงอยากทราบวิธีการในการต่อสู้กับกามราคะ

ความจริงแล้ว กามราคะและโทสะนั้น เหมือนคนละด้านของเหรียญอันเดียวกัน เช่น ในเวลาที่เกิดความต้องการทางเพศ แต่ไม่รู้ว่ามีกามราคะแล้ว และกดข่มไว้ โดยไม่รู้ทันว่าได้กดข่มไว้ จิตก็จะพลิกไปเป็นโทสจิต เหมือนเด็กโยเยเพราะไม่ได้ของเล่นที่ชอบใจ ครั้นโทสจิตผ่านไปแล้ว กามราคะก็แสดงตัวชัดขึ้นมาอีกสลับกันไป หรือแม้ว่า กามราคะได้รับการตอบสนองแล้วก็ตาม จะพบว่าจิตมีโทสะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หลังจากที่เสพกามไปแล้ว เพราะการเสพกามนั้น ทำให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหวได้มาก ยิ่งไปยุ่งกับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน ยิ่งหวั่นไหวมาก

ท่านจึงสอนให้สันโดษในคู่ของตน เพราะแม้จิตจะเศร้าหมองบ้างก็ไม่มากนัก ไม่เหมือนกับไปยุ่งกับคนอื่นๆ ดังนั้น ถ้าประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้ ก็อย่าประพฤติผิดในกาม เพราะกิเลสทั้งราคะและโทสะจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ปฏิบัติที่มองกามราคะซึ่งเกิดขึ้นแต่แรกไม่ออก แล้วกดข่มไว้ จึงคิดว่า ตนเองเกิดโทสะขึ้นมาก่อน แต่สู้โทสะได้ แล้วจึงเกิดราคะตามมาทีหลัง ความจริงแล้ว โทสะก็อาศัยกามราคะที่ไม่ได้รับการตอบสนองเกิดขึ้นนั่นเอง ถ้าปราศจากกามราคะ โทสะก็พลอยไม่เกิดไปด้วย

ก่อนจะต่อสู้กับกามราคะ ควรทราบเสียก่อนว่า กามราคะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ที่จิตพึงพอใจในกาม ได้แก่ ความพึงพอใจ ติดตรึงใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย เป็นคำที่กว้างกว่าความต้องการทางเพศ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของสตรีเป็นที่พึงใจของบุรุษ และรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของบุรุษเป็นที่พึงใจของสตรี ดังนั้น เรื่องของเพศตรงข้ามจึงจัดเป็นกามราคะที่ร้ายแรงมาก มากกว่ารูปวาดสวยๆ เสียงเพลงเพราะๆ ดอกไม้หอมๆ อาหารรสอร่อย ฯลฯ

กามราคะ เกิดขึ้นเพราะจิตไม่รู้เท่าทันความไม่มีสาระของกาย จิตจึงเพลิดเพลินพึงใจที่จะหาความสุขทางกาย ด้วยการมองหารูปสวย/หล่อ เสียงเพราะ กลิ่นหอม สัมผัสที่พอใจ ฯลฯ หากเมื่อใดจิตเห็นจริงว่า กายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือเป็นอสุภะ กิเลสกามก็จะอ่อนกำลังลงทันที

อุบายภาวนาในการสู้กับกาม ก็มีเป็นขั้นๆ ไป อย่างอ่อนๆ ก็เช่น การหลีกเลี่ยงผัสสะ เช่น ครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านแบกกลดหนีสาวที่ท่านไปหลงรักเข้า เพราะถ้าสู้ไม่ไหว ก็ต้องหนีเอาไว้ก่อน

อุบายที่เข้มข้นขึ้นไปอีก ได้แก่การพิจารณาเพศตรงข้าม เช่น การพิจารณาคนที่เราพอใจลงเป็นอสุภะ หรือไตรลักษณ์ ถ้าจิตเห็นจริงแล้ว จะลดความผูกพันกันทางกามลงได้
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยเล่าให้ผมฟังว่า มีพระรูปหนึ่งบริกรรมพุทโธได้ไม่นาน จิตกลับไปบริกรรมชื่อแฟน หลวงพ่อจึงให้บริกรรมชื่อแฟนต่อไป จนเกิดนิมิตรูปแฟนขึ้นมา พระท่านก็ดูรูปแล้วบริกรรมต่อไป รูปก็เริ่มเหี่ยวโทรมลง หมดสวยหมดงาม จิตของท่านก็ถอดถอนจากความผูกพันในกามกับแฟน

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ สมัยเป็นฆราวาส ท่านแก้ความรักสาวโดยการไปพิจารณาอุจจาระของสาว สมัยนั้นพิจารณาได้ เพราะชาวบ้านถ่ายกันตามทุ่งนา เดี๋ยวนี้จะเอาแบบวิธีนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะสาวเขาปกปิดร่องรอยมิดชิด

อุบายถัดมา เป็นการทรมานตนเอง เช่น พระบางรูปไปหลงรักผู้หญิง ท่านยอมอดข้าวจนกว่าจะตัดรักได้ วันแรกยังตัดไม่ได้ พอหลายวันเข้าก็ตัดได้ เพราะจิตกลัวว่ากายจะตายจึงเลิกรักสาว เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เรารักที่สุดก็คือตัวเราเอง

อุบายถัดมา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาตนเอง ซึ่งพระส่วนมากท่านพิจารณาร่างกายของท่านลงเป็นอสุภะบ้าง พิจารณาความตายบ้าง พิจารณาความเป็นทุกข์ของกายบ้าง วิธีนี้เป็นวิธีที่ประณีตยิ่งขึ้น เพราะเป็นการพิจารณาตนเอง ไม่ใช่วิธีพิจารณาเพศตรงข้าม หรือหนีเพศตรงข้าม

อุบายทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงการเอาตัวรอดเป็นครั้งคราวเท่านั้น ต่อเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะมากเข้า จนจิตเกิดปัญญาวิปัสสนาอย่างแท้จริงแล้ว นั่นแหละจึงจะเอาชนะกามได้อย่างเด็ดขาดพร้อมทั้งปฏิฆะด้วย ที่ผมเคยใช้แล้วได้ผล ในการเอาต่อสู้กับกามโดยไม่ได้เจตนาก็คือ การเดินจงกรมแล้วเอาสติระลึกรู้ลงในกาย เห็นกายเดินไปตามสภาพของกาย จิตเป็นคนดูอยู่ ถึงจุดหนึ่งจิตเกิดปัญญาขึ้นว่า กายนี้มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร เพราะมันเป็นเพียงธาตุเท่านั้น ความทุกข์มันเกิดจากจิตเข้าไปยึดกาย แล้วอยากอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ยอมรับความจริงว่า กายมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไปตามเหตุปัจจัย จิตจึงเป็นทุกข์เพราะความอยากของจิตเอง เมื่อจิตเดินปัญญามาถึงจุดนี้ จิตก็เห็นกายเป็นของธรรมชาติธรรมดาอันหนึ่งซึ่งว่างเปล่าจากตัวตน พอจิตไม่ยึดกายแล้ว กามก็หาที่ตั้งไม่ได้เอง ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้เพื่อละกามโดยตรงแต่อย่างใด

ปกติกามราคะและปฏิฆะจะขาดไปพร้อมๆ กัน เพราะเหตุที่ว่า กามและปฏิฆะมันเกิดจากรากเหง้าอันเดียวกัน คือเกิดจากความโง่ของจิตที่เข้าไปยึดกาย และมันรักความสุขทางกาย มัน (จิต)อยากให้ตาเห็นแต่รูปที่ดี ไม่อยากให้ตาเห็นรูปที่ไม่ดี มันอยากให้หูได้ยินเสียงที่ดี ไม่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี มันอยากให้จมูกได้กลิ่นหอม ไม่อยากได้กลิ่นเหม็น มันอยากให้ลิ้นรู้รสอร่อย ไม่อยากรู้รสที่ไม่อร่อย มันอยากให้กายสัมผัสความเย็นร้อนอ่อนแข็งที่พอเหมาะ ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่รุนแรงเกินไป เมื่อมันได้สิ่งที่ชอบใจ มันก็เกิดกามราคะ คือรักใคร่ผูกพันในอารมณ์ที่ดี เมื่อมันได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ มันก็เกิดปฏิฆะ คือความขัดใจ

ความยึดในกายนี้แหละ เป็นที่ตั้งของกามราคะและปฏิฆะเหมือนที่ความยึดในจิต เป็นที่ตั้งของสังโยชน์เบื้องสูง คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา

อันที่จริง เมื่อเรายังละกามไม่ได้ ก็ควรควบคุมให้มันอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ คืออย่าทำผิดศีล ๕ แล้วเจริญสติสัมปชัญญะเรียนรู้คุณและโทษของมันไป ความทุกข์ทรมานเพราะกามก็จะค่อยลดน้อยลงเป็นลำดับ

กามนั้นไม่ใช่จะเป็นโทษอย่างเดียว คุณของมันก็มีเรียกว่ากามคุณ ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากมันเสียบ้าง ก็จะดีไม่น้อย แม้พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้คนทำทานและถือศีล แล้วได้เสวยกามสุขในสวรรค์ ถัดจากนั้นจึงสอนให้เห็นโทษของกามเป็นลำดับต่อไป ท่านไม่หักหาญ ห้ามเรื่องกามกับคนที่ยังไม่พร้อม แต่ใช้กามเป็นเหยื่อล่อจิตที่อินทรีย์ยังอ่อนให้ยอมรับธรรม แล้วค่อยแนะนำทางเจริญปัญญาในภายหลัง

เหมือนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด เอากิเลสมาแก้กิเลส เอาหนามบ่งหนาม คือผมรู้จักพระชาวออสเตรเลียรูปหนึ่ง ท่านเครียดและหงุดหงิดใจอยู่เสมอ เนื่องจากต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยมากมาย ครูบาอาจารย์จึงออกอุบายอนุญาตให้ท่านเลี้ยงไก่สวยงามนานาชนิด (เลี้ยงแบบไก่ป่า คือทำที่อยู่ให้ตามต้นไม้ ไม่ได้กักขัง ไก่มีความสุขกันมากทีเดียว) เนื่องจากท่านชอบไก่มาก (คลับคล้ายว่าจะเป็นดอกเตอร์เกี่ยวกับไก่ด้วย) พอเห็นไก่แล้ว ท่านจะอารมณ์ดี หายหงุดหงิดได้

ครูบาอาจารย์ท่านฉลาดมาก คือท่านแก้ปฏิฆะ ด้วยกามราคะ เนื่องจากปฏิฆะที่ต่อเนื่องรุนแรงนั้น แทบจะทำให้พระรูปนี้ทิ้งวัดไป จึงต้องล่อด้วยของที่ชอบใจคือไก่ที่สวยงาม เมื่อพระท่านดูแลไก่นานเข้า ไม่ไปสนใจกับผู้อื่น จิตใจของท่านก็ผ่อนคลาย เกิดความนุ่มนวล อ่อนโยน แล้วจิตใจก็เปลี่ยนจากกาม ไปเป็นความเมตตาต่อไก่อันเป็นกุศลจิต และทำให้ง่ายที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป

ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากกามราคะเสียบ้าง ก็เข้าทีเหมือนกัน แต่วิธีนี้ ไม่แนะนำให้พระหนุ่มเณรน้อยนำไปใช้โดยพลการนะครับ

การทำงานศิลปะ การปลูกต้นไม้ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง การเล่นพระเครื่อง การเล่นแสตมป์ การยิงธนู ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ยังแฝงด้วยราคะ หรือมีโลภมูลจิตอยู่ครับ เพราะทำไปด้วยความชอบใจ แต่โทษของมันเบาบางกว่าโทสะ เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า โทสะมีโทษมาก แต่แก้ง่าย ราคะมีโทษน้อย แต่แก้ยาก ส่วนโมหะมีโทษมาก และแก้ยาก

บางคราว การใช้กิเลสก็เป็นอุบายสู้กิเลส โดยเปลี่ยนจากกิเลสที่มีโทษมาก ให้เป็นกิเลสที่มีโทษน้อยลง (แต่ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของครูบาอาจารย์) เช่น แทนที่จะหมกมุ่นกับความน้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ คับแค้นใจ กลุ้มใจ อันเป็นโทสะซึ่งมีโทษมาก ก็หันมาทำงานอดิเรกที่ชอบใจ จิตใจก็จะสงบลง หายเร่าร้อนแล้ว กลับมาปฏิบัติธรรมก็ทำได้ง่ายขึ้น

หรือบางคราวโมหะครอบจิตจนมืดตื้อแกะไม่ออก ยิ่งนั่งดู ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ซ้ำโทสะก็จะเริ่มเข้าผสมโรง คือหงุดหงิดใจขึ้นมา โมหะมีโทษมาก โทสะก็มีโทษมาก ผมจึงเคยแนะพวกเราบางคนว่า ให้หยุดการปฏิบัติไว้ก่อนชั่วคราว ไปเปลี่ยนอารมณ์เดินดูสิ่งที่สวยๆ งามๆ ให้สบายใจ แล้วถ้าจิตเกิดราคะ ก็ให้รู้ราคะไป อันนี้ก็ป็นอุบายเอาตัวรอดจากกิเลสที่มีโทษมาก ไปเป็นกิเลสที่โทษน้อย แล้วค่อยพลิกกลับมาเป็นกุศลจิตทีหลัง

อันตรายมันอยู่ตรงที่ พลิกกลับไปเป็นกุศลจิตไม่ได้ นี่แหละครับ เรื่องอย่างนี้ จึงควรอยู่ในสายตาของครูบาอาจารย์ไว้ สำหรับเอี้ยง ปลูกต้นไม้ไปเถอะครับ จิตใจที่สบายๆ ร่วมกับการที่เราทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นนิจ เกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไป ถึงชาตินี้อาจจะไม่รู้ธรรม แต่สุคติก็เป็นที่หวังได้ครับ

Wednesday, December 01, 2004 9:32:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องหนักหนา...
อย่าทำให้มันเป็นเรื่องหนักหนาสิ...
ทุกคนทำได้ แม้จะได้ดีไม่เท่ากัน...แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้

ลองหรือยัง...

ยายไฮยังสู้เพื่อเอาที่นาตัวเองคืนมาตั้ง 27 ปี...
สู้ลำพัง...

ยายไฮ...ไม่เคยถามใครว่ารักคืออะไร
ยายไฮ...ไม่เคยถามใครว่าเกลียดทำไม
ยายไฮ...ยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่อยู่ในอก...ยายไฮ...คุณไม่รู้หรอก

จิดใจของแกน่าเทิดทูน...และจะเทิดทูนเพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุก ทุก...
ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครบอกว่าควรเทิดทูน...
ความยิ่งใหญ่ในใจมันวัดไม่ได้ด้วยไม้บรรทัด...ยายไฮไม่เคยแม้แต่จะคิดวัด...

ขอบคุณยายไฮ...ขอบคุณ...ขอบคุณ

จะนึกถึงยายไฮเมื่ออ่อนแรง...
อยากจ่ายค่าเช่าให้ยายไฮสำหรับกำลังใจรายชั่วโมง ที่ให้เรา...

แต่จะจ่ายให้ยายเป็นความอดทน อดกลั้น และแบ่งปันแทน นะยาย...ไม่เดือดร้อน และไม่แพงหรอก รับไว้เถอะ

ยายไฮ.../ 1 ธค. 2547/ WPM

Wednesday, December 01, 2004 9:35:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

ไก่...
แวะซื้อกะหรี่ปั๊บ อีกแล้ว...ดูแผนที่ดิ่...งี้เมื่อไรจะถึงสระบุรีอ่ะ

ถ้าหลง จะไม่เป็นเนฯให้แล้วนะ

แวะ.../1 ธค. 2547/ เน ดับบลิวพีเอ็ม

Wednesday, December 01, 2004 10:10:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

ญ1 เดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถือเมนูติดมือมา1ใบ ไม่ได้สะพายกระเป๋าถือใดๆ หน้าดูนิ่งๆ มาด ดี

ญ2 รอเงินทอนอยู่ค่ะ มองไปที่ ญ1

ญ1 ค่ะ เเล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะข้างกัน นั่งโต๊ะริม ทำเหมือนไม่หิว

ญ2 รอเงินทอนนานแล้วค่ะ มอง ญ1 อีกทีแบบหน้าตายๆ

ญ1 ค่ะ ดีแล้วค่ะ พี่เองยังต้องเดินไปหยิบเมนูมาเองเลยค่ะ น้องโชคดีกว่านะคะกินอิ่มแล้ว

ญ2 ทำหน้าปุแล่มๆ แต่ไม่ตอบ

ช กูจะหัวเราะกะใครดีวะ กินสลัดทูน่าอยู่คนเดียว ทีวีก็ดันเป็นข่าว สึนามิ ไม่ขำซักกะหน่อย ...เออ เดี๋ยวกูโทรกลับ.ฮ่าๆๆๆๆๆๆ โคตรตลกเลยว่ะ เดี๋ยวกูกินเสร็จโทรไปคุยต่อนะ..รีบวางหูก่อนที่จะมีคนโทรเข้ามาจริงๆแล้วหน้าแหก

ผ-อืด-ผ-อม...28 ธค.2547 / TSL

Tuesday, December 28, 2004 9:07:00 PM  
Blogger solitary animal said...

--เก็บตกจากอีเมลล์ คุณต่ายพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก แต่นั่นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเทียบไม่ติดกับแก่นหรือสาระที่ต่ายมีมาแลกเปลี่ยนให้เราตลอดเวลา...ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อคิดติดขอบอ่างดีๆ ในครั้งนี้นะจ้ะ ฮ่าๆๆ

การทีไก่ชอบก็เป็นความสุขเล็กๆ อย่างหนึ่งที่ราจะเอาไปผสมผสานกับความสุขเล็กอื่นๆ เพื่อรวมกันเป็นความสุขที่มีพลังไว้ต่อสู้กับความทุกข์ก้อนโตได้

แต่ถ้าใครสักคนสามารถที่จะมองหรือให้คุณค่ากับความสุขชิ้นเล็กๆ ชิ้นนึงโดยด่วงน้ำหนักให้มันเยอะเหมือนกับเวลาเราคิดเกรดเฉลี่ย วิชาที่ได้เอ และมีหน่วยกิตเยือะ มันก็จะถ่วงเกรดเฉลี่ยรวมได้ดีกว่า ได้เอวิชาเลื่อกที่มีเพียง 1 หน่วยกิตนะ เข้าใจป่ะ

เรากำลังจะบอกว่า ตัวเราเองจะต้องเป็นคนประเมินเองว่าความสุขนี้เล็ก หรือ ไหญ่ ความทุกข์นี้ มากหรือน้อย เพื่อจะบาลานซ์มัน.........เราต้องเป็นผู้กำหนดมัน อยู่เหนือมัน ไม่ใช่ประเมินค่ามันจากสิ่งรอบข้าง หรือโดยคนอื่นตัดสินหรือประเมินให้..

มันอยู่ที่ใจ...ดับบลิวพีเอ็ม...สิบสาม มอ.คอ.สองห้าสี่แปด.....

Friday, January 14, 2005 1:52:00 PM  
Anonymous แปลภาษาฝรั่งเศส said...

ผมขออนุญาตเจ้าของบล็อกประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจากโลหิตหน่อยนะครับ คือผมเพิ่งไปบริจากมาเลยทำให้ได้ความรู้มาอยางนึง ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ก็คงจะไม่รู้เช่นกัน ทราบหรือเปล่าครับว่าคนเราที่จริงแล้วมีเลือดส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คือปกติร่างกายเราต้องการเพียง 15-16 แก้ว แต่เรามีมากถึง 17-18 แก้ว นั่นก็คือมีเลือดส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ครับ แล้วส่วนเกินนี้ปกติมันจะไปที่ไหนครับ ก็ถูกขับทิ้งออกมาทางปัสวะนั่นเอง ดังนั้นอย่าให้มันเสียเปล่าเลยครับ ไปบริจากให้คนที่เค้าต้องการดีกว่า ขอขอบคุณท่านเจ้าของบล็อกมากครับ การช่วยเผยแพร่ข้อมูลก็ถือเป็นบุญกุศลอย่างมากเลยครับ

Thursday, November 12, 2009 10:02:00 AM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook