There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Age of Revolution

Friday, October 14, 2005

Age of Revolution


14 ตุลา : บันทึกประวัติศาสตร์ โดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ

เดือนตุลาคม 2516 เยาวชนคนหนุ่มสาวหลายคนออกจากบ้าน ไปร่วมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ หลายคนไม่ได้กลับบ้านอีกเลย บางคนกลับไปด้วยร่างกายพิกาย บางคนกลับไปด้วยความรู้สึกใหม่ เหตุการณ์ 14-15 ตุลาคม มีผู้เสียชีวิต 77 คน บาดเจ็บ 857 คน

วันที่ 14-15 ตุลาคม 2516 วีรชนคนหนุ่มสาวเดินออกจากบ้านและเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และตำนาน ที่จะต้องจดจำกันไว้ในแผ่นดินนี้ชั่วกาลนาน

วันนี้ครบรอบเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้งนั้น เราขอสงบนิ่งและส่งจิตไประลึกถึงไปพวกเขาเหล่านั้นด้วย...

ใช่หรือไม่ว่า...วันนี้เรายังก้าวไปไม่ไกลสิบสี่ตุลาและหกตุลามากนัก!

7 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ผู้ใดไม่จดจำประวัติศาสตร์(experience) ผู้นั้นมีแนวโน้มจะก่อมันขึ้นอีก

CwG Book 1, P.5

..the result of not listening to your experience is that you keep re-living it, over and over again.

Friday, October 14, 2005 12:28:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

ไปไม่ไกลกว่า..แถมยังเนียนอำมหิตกว่าเดิม ถึงคราวระบำรบแห่งสันติ

Friday, October 14, 2005 2:31:00 PM  
Blogger solitary animal said...

"วีรชน 14 ตุลา" เป็นวีรชนที่เสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 รวมทั้งสิ้น 77 คน ทุกคนได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ

เพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของวีรชนเหล่านั้น จึงได้มีงานพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 14 ตุลาคม 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชทานเพลิง

...หีบศพที่บรรจุอัฐิและศพของวีรชนซึ่งคลุมไว้ด้วยธงไตรรงค์ หน้าหีบศพมีภาพผู้ตาย แต่หลายหีบปราศจากรูปเพราะแม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก ด้านหลังหีบศพมีโคลงสดุดีไว้ว่า

โอมอวยอำนาจอ้าง อึงอล พ่อเอย
สดุดีวีรชน ชาติเชื้อ
วิญญาณจุ่งสถิตย์ดล ดวงประทีป ปวงราษฎร์
สละชีพพลีเลือดเนื้อ เพื่อพ้องผองไทย

Friday, October 14, 2005 3:11:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

หากว่าฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน
ติดปีกบินไปให้ไกลไกลแสนไกล
จะขอเป็นนกพิราบขาว
เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี
หากว่าฉันเกิดเป็นเมฆบนนภา
จะนำพาความร่มเย็นเพื่อท้องนา
หากฉันเกิดเป็นเม็ดทราย
จะถมกายปูทางเพื่อมวลชน
ชีวายอมพลีให้มวลชน
ที่ทุกข์ทนฉันยอมทนไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง…

เม้นๆ จ้า

Saturday, October 15, 2005 10:19:00 AM  
Blogger solitary animal said...

หลักการเพื่อข้ามให้พ้นประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลา กรุงเทพธุรกิจ 15/10/15

ประชาธิปไตย คือ วิถีทาง (means) ที่เป็นจุดหมาย (end)

ประชาธิปไตย คือ วิถีทางยั่งยืนเพื่อให้ประชาชนที่แตกต่างกันช่วยกันทำให้สังคมปรับตัว ท่ามกลางสภาวการณ์ใหม่ๆ ด้วยการยอมให้ความแตกต่างหลากหลายดำรงอยู่ร่วมกัน แล้วค่อยๆ ตัดสินใจเลือกทางเดินที่คนส่วนใหญ่พอใจโดยไม่ต้องทำลายทางเลือกอื่น ประชาธิปไตยมิใช่หมายถึง การยกย่องเชิดชูอย่างเพ้อฝันว่า ประชาชนถูกต้องเสมอ ฉลาด มีภูมิปัญญาเป็นเลิศ แต่เราต้องมั่นคง กับหนทางที่ให้ประชาชน มีอำนาจตัดสินทางเลือกของตน ไม่ว่าจะฉลาดมากน้อยหรือด้อยปัญญาก็ตามที

การสกัดทำลายอำนาจของประชาชน หรือทำให้หลงใหลความเอื้ออาทรของรัฐ หรือขัดขวาง หรือไม่ส่งเสริมให้ประชาชนสร้างอำนาจของตนขึ้นมา ไม่ว่าจะฉลาดหรือด้อยปัญญาก็ตามที จึงเป็นการบ่อนทำลายหนทางประชาธิปไตยขั้นรากฐานที่ต้องยุติ ประชาธิปไตยไม่ฝากความหวังกับคุณพ่อรู้ดีไม่ว่าประเภทใด ถ้าเราต้องการสร้างอำนาจของประชาชนให้เข้มแข็ง ไม่ควรหวังพึ่งพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ไม่ควรหวังพึ่งทุนเหลิงอำนาจ เพราะการหวังพึ่งพลังเหล่านั้นทำให้การสร้างอำนาจของประชาชนไม่รู้จักโต

ประชาธิปไตยไม่ควรให้อำนาจ หรืออภิสิทธิ์ใดๆ แก่ปัญญาชนหรือคนกรุงผู้ฉลาดรู้ดี แต่ประชาธิปไตยต้องการความรู้ สติปัญญา และทางเลือกในปัญหาต่างๆ ซึ่งสังคมจะรับหรือปฏิเสธแค่ไหนก็ได้ การปิดกั้นทำลายความเห็นต่าง ทำลายการวิจารณ์จึงเป็นการบ่อนทำลายหนทางประชาธิปไตยที่น่ารังเกียจที่สุด การไม่ปิดกั้นทำลายความคิด และกลับส่งเสริมความกล้าเผชิญความจริงเพื่อหาทางออกนอกกรอบจำกัด จึงเป็นหลักการสำคัญกว่าที่หลายท่านคิด

32 ปีหลัง 14 ตุลา 2516 แม้ว่าการเสริมสร้างอำนาจของประชาชนจะยังอ่อนแออยู่ แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 14 ตุลา ได้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่แก่ประชาธิปไตยไทยแล้ว นั่นคือ เปิดประตูบานใหญ่แก่การพัฒนาเติบโตของพลังประชาชน ไม่ว่าจะในนามของภาคประชาชน หรืออื่นใดก็ตามที

ความเติบโตเหล่านี้คือ ก้าวย่างที่เติบโตของอนาคตเพื่อข้ามให้พ้นการแย่งชิงอำนาจนำของพลังส่วนอื่นนับจากหลัง 14 ตุลา หมายถึงจะต้องส่งเสริม สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งของประชาชนเพื่อปกป้องวิถีชีวิตในแบบที่เขาต้องการ มีอำนาจตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรของเขา

ไม่ใช่ให้รัฐมากำหนดการจะข้ามให้พ้นสภาวะปัจจุบันของประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาได้ เราต้องอาศัยทั้งความรู้ ความใฝ่ฝันประกอบกันขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะความรู้บวกความใฝ่ฝัน คือ อำนาจของประชาชน แต่ทว่ามีหลักประกันอะไร ว่า ความรู้ และความใฝ่ฝันดังกล่าวจะสร้างสรรค์อนาคตที่เราปรารถนาได้จริง

Saturday, October 15, 2005 12:00:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

How many times must a man look up before he can see the sky?
How many ears must one man have before he can hear people cry?
How many deaths will it take till he knows that too many people have died?

The answer, my friend, is blowin' in the wind
The answer is blowin' in the wind.

Saturday, October 15, 2005 11:03:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ขอบคุณ Blog Traveller มากเลย เพลงโปรดเลยอ่ะ!

Monday, October 17, 2005 8:45:00 AM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook