There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Thought-Word-Deed

Sunday, September 11, 2005

Thought-Word-Deed

เหมือนหมาอยากมีเจ้าของ
ปลาอ้วน BOOK-YES @ YAHOO.COM

หากเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดี

เทนนิสยูเอสโอเพ่นกำลังเข้มข้น เพื่อนบางคนบอกว่าดูมาเรีย ชาราโปวา แข่งทีไร มักคิดกับเธอไปต่างๆ นานา คิดว่าทำไมช่วงขาเธอยาวจัง คิดว่าเวลาเธอนุ่งห่มชุดว่ายน้ำจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ชายที่ดูเกมเทนนิสหญิงแล้ว คิดประมาณเดียวกับเพื่อนคนดังกล่าวน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์

โดยปกติคนเราจะนำสิ่งที่คิดไปพูดและนำไปทำอยู่บ่อยๆ บางทีก็พูดและทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และคิดกลางเลยสักนิด ผมพูดโดยไม่คิดให้ละเอียดบ้างเป็นบางครั้ง โอ้โห! กรรมตามทันเร็วมาก ได้ผลตอบแทนจากการคิดไม่ละเอียดในทันทีทันใด

4 Comments:

Blogger solitary animal said...

เกี่ยวกับกรรมนั้น-คนยุคนี้ไม่ค่อยเชื่อว่ากรรมมีจริง ไปเชื่อว่าโทรศัพท์มือถือมีจริง เด็กวิวมีจริง ไอ-พ็อด มีจริงมากกว่า ซึ่งก็ถูกแล้วที่เชื่อเช่นนั้น เพราะมันมีจริงและจับต้องได้ ผิดกับกรรมที่ระบุรูปร่างและขนาดไม่ได้เลย ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ากรรมเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ แต่ผมเชื่อว่ากรรมมีจริงนะครับ มีจริงตั้งแต่ก่อนมีโลกใบนี้และหลังจากไม่มีโลกใบนี้กรรมก็ยังอยู่ เพราะฉะนั้นจำเป็นมากที่คนเราจะต้องคิดดี พูดดี และทำดี อย่างมาเรีย ชาราโปวา ก็พยายามคิดว่าเธอเป็นนักเทนนิส...เธอเป็นนักเทนนิส อย่าไปคิดกับเธอในฐานะวัตถุทางเพศ

รัฐมนตรีวัฒนา เมืองสุข อาจมีนิสัยพูดโดยไม่คิดให้รอบคอบ พูดอะไรออกมาก็มักถูกคนโห่เป็นประจำ น้องแหม่มพูด...เพิ่งรู้ว่าตั้งท้อง 5 เดือน แต่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อและบางส่วนโห่น้องแหม่มแบบไม่ไว้หน้า ถ้าน้องแหม่มไม่ไป...กับคุณสงกรานต์ก็ไม่ต้องมาพูดเช่นนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่เธอพูดและทำ-ไม่ดีนะครับ แต่หมายความว่าผลจากการกระทำและการพูดไม่ได้หายไปไหน มันเหมือนเงาที่คอยติดตามน้องแหม่มทุกฝีก้าว เพราะว่าได้มีการกระทำลงไปก็เลยต้องออกมาพูด

ในเมื่อผมเชื่อว่าผลกรรมมีจริง ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า ผลกรรมเป็นเจ้าของชีวิตเรา และเราจะทำเป็นหมาไม่อยากมีเจ้าของไม่ได้เด็ดขาด การที่นักศึกษาชายหญิงเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ก็จะมีผลกรรมจากการอยู่ด้วยกันเกิดขึ้นแน่ๆ เช่น อาจจะเรียนไม่จบ อาจจะตั้งท้อง อาจจะหมดศรัทธาในการใช้ชีวิตคู่ ฯลฯ เพราะมันยังไม่ถึงวัยที่พวกเขาจะมีอยู่ด้วยกันแบบผัวๆ เมียๆ

การที่ใครสักคนเป็นบ่างช่างยุ พูดให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะ อะไรที่ควรพูดกลับไม่พูด แต่อะไรที่ไม่ควรพูดกลับพูด ความแตกแยกคือผลกรรมที่มาจากการแปลงร่างเป็นมนุษย์บ่าง ส่วนกรรมของบ่างย่อมเกิดขึ้น-ไม่ช้าก็เร็ว เนื่องจากบ่างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวมาปิดไม่มิด ความช้าของกรรมทำให้คนจำนวนมากไม่เชื่อว่ากรรมมีจริง...มันแค่เดินทางมาถึงช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง และสุดท้ายกรรมก็จะตามทันอยู่ดี

ในทุกๆ วันของคนเราย่อมเกี่ยวข้องกับการคิด การพูด และการกระทำ ถ้าคิดดี พูดดี และทำดี-ชีวิตก็จะดี ในทางตรงกันข้าม หากคิดพูดและทำไม่ดี ก็อย่าหวังว่าจะได้อะไรดีๆ ตอบแทน แต่ปัญหาและอุปสรรคใหญ่ก็คือ ...เราแยกแยะไม่ค่อยออกว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี นอกจากนั้นเรายังสร้างมาตรฐานความดีส่วนตัวขึ้นมาใหม่ ผมสอบถามผู้เชี่ยวชาญเรื่องความดีแถวบ้าน เขาบอกว่ามาตรฐานความดีต้องใช้ของเดิมที่มีอยู่แล้ว ศีล 5 ข้อ สำหรับบุคคลทั่วไปยังเป็นอุปกรณ์สำคัญในการวัดระดับความดี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือผู้คนยุคน้ำมันแพงนิยมผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน และไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำได้ลงคอนั้นคือความผิด

ผมอยากคิดดี พูดดี และทำดีให้สม่ำเสมอ แต่ยังไม่เคยทำได้เลย หลวงพี่คนเดิมก็บอกว่าทำไม่ได้เช่นกัน ที่มันยากเพราะการคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดีเกิดขึ้นง่ายกว่า เห็นสีกาสาวๆ ใส่เสื้อเอวลอยแบบเน้นเนื้อแน่นๆ ก็เตลิดแล้ว พยายามหลับตาและนึกถึงพระธรรม แต่เอวลอยและเนื้อแน่นไม่ได้หายไปไหน ลอยไปลอยมาอยู่ในหัวนั่นแหละ หลวงพี่บอกกับผมอีกว่า...สมัยนี้สิ่งเย้ายวนมีอยู่มาก มันมากเสียจนดูเป็นสิ่งธรรมดา นักเทนนิสหญิงที่ควรจะแต่งกายมิดชิดก็เปิดเผยซะงั้น ยิ่งเหงื่อออกยิ่งเปิดเผย สาวๆ ก็เอวลอยกันมาก ถ้าพวกเธอกลับมาเอวจม ผู้ชายก็จะคิดดีทำดีใช้ง่ายกว่าเป็นอยู่ แล้วหลวงพี่ก็สรุปว่าหนูมาเรีย ชาราโปวาอาจเข้าถึงรอบชิง ถ้าไม่ตีเสียในลูกง่ายๆ บ่อยเกินไป

การคิดดี พูดดี และทำดีมีประโยชน์อย่างแน่นอน ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น โรงเรียนฝึกคิดดี พูดดี และทำดีเปิดสอนตลอดในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ค่อยมีใครเข้าเรียนและพวกที่ลาออกจากโรงเรียนก็มีอยู่มาก ทว่าโรงเรียนนี้ยังให้โอกาสเต็มที่ ใครจะกลับมาเรียนอีกก็ได้

นั่นไงผมเห็นแล้ว...มีทั้งพวกหนีเรียนและลาออกจากโรงเรียนเต็มไปหมด

Sunday, September 11, 2005 11:18:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

สมัยก่อนไม่ค่อยจะเชื่อว่าคำพูดจะมีอิทธิพลมากมายอะไร แต่หลังๆเริ่มเชื่อแล้ว ว่าเพียงคำพูดสามารถกำหนดชะตาชีวิตของคนเราได้จริงๆ

อย่างกรณีหนูแหม่ม

เดี๋ยวนี้เริ่มจะเชื่อมากขึ้นไปอีก ว่าไม่เพียงแต่ชีวิตเราจะถูกกำหนดด้วยความคิดของเราเอง ชีวิตคนอื่นก็อาจจะได้รับผลกระทบเพียงเพราะความคิดและความเชื่อของเราด้วย

เคยเชื่อว่าใครสักคนเป็นคนไม่ดี และก็ถ่ายทอดความคิดนั้นให้คนอื่นฟัง เวลาล่วงเลยไป ใครต่อใครก็เลยพาลเห็นแต่ข้อเสียของคนๆนั้นกันไปหมด และถ่ายทอดต่อกันไปเรื่อยๆ

ถึงวันนี้แม้ความคิดของเราจะเปลี่ยน มองเห็นว่าคนเราล้วนมีทั้งด้านดีและเลว แต่หากเพียงเพราะก้อนความคิดสีดำๆที่เราเป็นคนหย่อนลงไปในใจเราเอง ก็ส่งผลเป็นระลอกคลื่นกระทบกับชีวิตใครคนอื่นไม่สิ้นสุด

หลังๆเลยไม่กล้าแม้แต่จะคิด
หรือหากยังคิด ก็พยายามที่จะไม่พูดออกมา
เพราะเขาว่ายุคแห่งการสื่อสารเนี่ย
เวรกรรม มันติดจรวดง่ะ

Sunday, September 11, 2005 10:51:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

แวะมาอ่าน เงียบๆ ... พยายามไม่พูด

R.ClintCaid.

Monday, September 12, 2005 12:12:00 AM  
Blogger solitary animal said...

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาทักทายกันจ้า!

Blog Traveller - ขอบคุณจ้าสำหรับคอมเม้นท์ดีๆ แล้วยังไงโคจรมาอีกบ่อยๆ นะ อย่าลืมพักผ่อนมากๆ นะ ยังไง...หาเวลาไปดูหนังด้วยกันบ้างดินะ ชวนเจ๊โอเล่กะเจ๊หลินไปด้วย เอาเรื่อง 5x2 ที่เฮ้าส์เลยเป็นงัย :)

R.ClintCaid - "เราคิดอยู่เงียบๆ หากสิ่งนั้นกลับสะท้อนก้อง เพราะโลกมิใช่อื่นใดนอกไปจากภาพสะท้อนของความคิด" เจมส์ แอลเลน, เห็นด้วยมั๊ย :)


Pat - ขอบคุณเน้อ เรายังคงแวะไปที่ blueblurry.com อยู่บ่อยๆ นะ :)

Monday, September 12, 2005 2:01:00 PM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook