หนังสือน่ารักเล่มหนึ่งชื่อ The little book of HUGS ของ Kathleen Keating อธิบายถึงคำ Hug ไว้ว่า เป็นกิริยาที่คนสองคนใช้แขนโอบรัดกันด้วยความรู้สึกห่วงใย ใกล้ชิด และยังเป็นการบำบัดทางจิตใจที่ง่ายที่สุดเพื่อรักษาอาการซึมเศร้า
"Analysis is the way of the mind, hugging is the way of the heart. The mind is the cause of all diseases, and the heart is the source of all healing."
Osho (from: The Wild Geese and the Water #4, 1981)
Man needs to be needed. It is one of the most fundamental needs of human beings. Unless one is cared for, one starts dying. Unless one feels that one is significant to somebody, at least to somebody, one's whole life becomes insignificant. Hence love is the greatest therapy there is. The world needs therapy because the world is missing love. In a loving world no therapy will be needed at all; love will be enough, more than enough. Hugging is only a gesture of love, of warmth, of caring. The very feel of the warmth flowing from the other person melts many illnesses in you, melts the ice-like, cold ego. It makes you again a child.
The psychologists are now well aware of the fact that unless a child is hugged, kissed, he misses some nourishment. As the body needs food, the soul needs love. You can give to the child all the physical needs, all the physical comforts, but if hugging is missing, the child will not grow into a wholesome being. He will remain sad somewhere deep down, uncared for, neglected, ignored. He was nursed, but not mothered.
It has been observed that if a child is not hugged, he starts shrinking - he can even die - although everything else was provided for. As far as the body is concerned, every care was taken, but no love surrounded the child. He became isolated; he became disconnected from existence.
Love is our connection; love is our very root. As you breathe - for the body it is absolutely essential; stop breathing and you are no more - in the same way, love is the inner breath: the soul lives by loving.
Analysis won't do it. Wit and clarity, knowledge and scholarship won't do it. You can know all there is to know about therapy, you can become an expert, but if you don't know the art of love, you remain only on the surface of the miracle of therapy.
The moment you start feeling for the patient, for the one who is suffering... out of a hundred cases, ninety people are suffering because they have not been loved. If you start feeling the need of the patient for love, and if you can fulfil the need; there will be an almost magical change in the condition of the patient.
3 Comments:
กรุงเทพวันอาทิตย์ 25 กันยายน พ.ศ. 2548
บิวตี้ฟูล ไมน์ด by อนาโตมี
กอดกันไว้ดีกว่า
คนเรา 'กอดกัน' ก็เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกอบอุ่นให้กันและกัน แม้หลายคนจะคิดว่านั่นคือวัฒนธรรมของต่างชาติ แต่การแสดงความรักในหลายรูปแบบคือ 'วัฒนธรรมสากล' ถ้ามีความรักในเพื่อนมนุษย์ จงอย่ารังเกียจที่จะกอดกันและกัน
หนังสือน่ารักเล่มหนึ่งชื่อ The little book of HUGS ของ Kathleen Keating อธิบายถึงคำ Hug ไว้ว่า เป็นกิริยาที่คนสองคนใช้แขนโอบรัดกันด้วยความรู้สึกห่วงใย ใกล้ชิด และยังเป็นการบำบัดทางจิตใจที่ง่ายที่สุดเพื่อรักษาอาการซึมเศร้า
อ้อมกอดของพ่อแม่ เป็นสิ่งแรกที่ทำให้เด็กทารกรู้จักความรักความอบอุ่น ทุกครั้งที่ร้องไห้งอแง แม่จะกอดไว้แนบอก เสียงร้องก็เงียบหาย อ้อมกอดเปรียบเสมือนส่วนสำคัญที่หล่อเลี้ยงทุกคนให้เติบโตมาด้วยความรักความเมตตา
สมัยเราเด็กๆ พ่อแม่กอดเราบ่อย แต่เมื่อเราโตขึ้นพวกเขาก็เลิกทำแบบนั้น เพราะลูกๆ ตัวโตจนกอดไม่ไหว ไม่อยากทำให้ลูกรู้สึกอ่อนแอ หรือเขินอายที่จะกอด ซึ่งยากที่จะคาดเดา แต่ที่แน่ๆ พวกเขาทำให้เราคล้อยตามและคิดว่ากอดมีไว้สำหรับเด็กเล็กๆ เท่านั้น
'กอด' คือสัมผัสที่มีพลัง เวลาที่เราอยากถ่ายทอดความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อกัน แค่คำพูดไม่พอ ต้องสวมกอดกันและกันด้วย
ในเวลาที่ครอบครัวต้องอยู่ห่างกัน พี่อยู่เหนือ น้องอยู่ใต้ พอมาเจอกันแต่ละที ต่างคนต่างโผเข้าหา กอดกันแน่น อย่างนี้ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ว่าพลังแห่งความคิดถึงนั้นมีมากมายเหลือล้น
บางคนบอกว่า ‘ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก’ ถ้าใครที่คิดแบบนี้ขอให้คิดใหม่อีกรอบว่า 'ไม่จำเป็นต้องแสดงออก' หรือ แสดงออกไม่เป็นกันแน่
ความคิดของคนที่ไม่เคยรับการเลี้ยงดูด้วยความรักอย่างเปิดเผยจากพ่อแม่ จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแสดงความรักต่อกัน และคิดว่าการไม่แสดงออกเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว คนแบบนี้ไม่คู่ควรกับอ้อมกอดอันอบอุ่น เพราะกอดมีไว้ให้สำหรับคนที่เห็นคุณค่าเท่านั้น
ประโยชน์ของ 'กอด' มีมากมายนับไม่ถ้วน เช่น ช่วยพัฒนาภาษาท่าทาง สร้างความรู้สึกที่ดี กำจัดความโดดเดี่ยว เอาชนะความกลัว การต้อนรับที่อบอุ่น ทำให้ตัวเรารู้สึกมีคุณค่า (เพราะมีคนอยากเข้ามากอด) รู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาว เจริญอาหาร ลดความเครียด สำคัญที่สุดทำให้การสัมผัสทางกายมีความหมาย
กอดนั้นมีทั้งแบบคุณภาพและไม่มีคุณภาพ ทุกคนสามารถพัฒนากอดของตัวเองให้ดีขึ้น แม้จะไม่เคยกอดใครมาก่อนก็ตาม แต่กฎง่ายๆ ที่ควรรู้ก่อนจะกอดใครคือ 1.กอดด้วยความรัก 2.กอดคนที่เรารัก 3.อย่ากลัวที่จะขอให้คนที่รักกอดเราบ้าง
ในอ้อมกอดที่มีคุณภาพจะให้ความรู้สึก อบอุ่น ปลอดภัย ห่วงใย ขี้เล่น ทำให้คนที่ถูกกอดลืมความโศกเศร้าไปชั่วขณะ แต่รู้สึกเหมือนมี 'แรง' และ 'พลังความเข้มแข็ง' ที่จะฮึดสู้อุปสรรคที่ประสบอยู่
เวลาที่กอดใครให้กอดแน่นๆ เผยถึงความรู้สึกทั้งหมดที่มี เช่น กอดและโยกตัวไปด้วย กอดโดยเอาแก้มแนบแก้ม กอดกัน 3 คน กอดพร้อมกับเหวี่ยงไปรอบๆ กอดกันเป็นหมู่คณะ กอดแล้วตบหลังเบาๆ
'การกอด' ไม่ควรจำกัดเวลา สถานที่ ไม่มีเงื่อนไข ไม่ตัดสิน ไม่ตำหนิ เราอาจจะ กอดเพื่อน-เพื่อให้กำลังใจเมื่อเห็นเขาเหนื่อยกับงานที่ไม่มีวันเสร็จสิ้น กอดแม่-ในขณะที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว กอดลูก-ขณะที่กำลังเล่นสนุกสนานอยู่กับเพื่อน ขอให้กอดกันบ่อยๆ ไม่ใช่นานๆ กอดกันที ไม่อย่างงั้นจะรู้สึกแปลก ไม่คุ้นเคย เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ ไม่เป็นธรรมชาติ
เมี่อคุณกอดใคร ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แต่อีกฝ่ายหนึ่งสามารถรับรู้ความรักความห่วงใยที่คุณมีต่อเขา
เมื่อใครกอดคุณ จงโอบรับความรู้สึกอบอุ่นนั้นไว้ด้วยการสวมกอดเขาเช่นกัน
กอด...ใครคิดว่าไม่สำคัญ
เจอบทความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการกอด แวะเอามาแปะที่นี่ละกัน
อย่าลืมกอดคนที่คุณรักทุกวันนะจ้ะ :)
"Analysis is the way of the mind, hugging is the way of the heart. The mind is the cause of all diseases, and the heart is the source of all healing."
Osho
(from: The Wild Geese and the Water #4, 1981)
Man needs to be needed. It is one of the most fundamental needs of human beings. Unless one is cared for, one starts dying. Unless one feels that one is significant to somebody, at least to somebody, one's whole life becomes insignificant. Hence love is the greatest therapy there is. The world needs therapy because the world is missing love. In a loving world no therapy will be needed at all; love will be enough, more than enough. Hugging is only a gesture of love, of warmth, of caring. The very feel of the warmth flowing from the other person melts many illnesses in you, melts the ice-like, cold ego. It makes you again a child.
The psychologists are now well aware of the fact that unless a child is hugged, kissed, he misses some nourishment. As the body needs food, the soul needs love. You can give to the child all the physical needs, all the physical comforts, but if hugging is missing, the child will not grow into a wholesome being. He will remain sad somewhere deep down, uncared for, neglected, ignored. He was nursed, but not mothered.
It has been observed that if a child is not hugged, he starts shrinking - he can even die - although everything else was provided for. As far as the body is concerned, every care was taken, but no love surrounded the child. He became isolated; he became disconnected from existence.
Love is our connection; love is our very root. As you breathe - for the body it is absolutely essential; stop breathing and you are no more - in the same way, love is the inner breath: the soul lives by loving.
Analysis won't do it. Wit and clarity, knowledge and scholarship won't do it. You can know all there is to know about therapy, you can become an expert, but if you don't know the art of love, you remain only on the surface of the miracle of therapy.
The moment you start feeling for the patient, for the one who is suffering... out of a hundred cases, ninety people are suffering because they have not been loved. If you start feeling the need of the patient for love, and if you can fulfil the need; there will be an almost magical change in the condition of the patient.
Post a Comment
<< Home