There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Consciousnss : The Way Out of Pain

Saturday, December 16, 2006

Consciousnss : The Way Out of Pain

























เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงปลาดาว...โดย จักรพันธุ์ ขวัญมงคล

เชื่อหรือไม่?

7 Comments:

Blogger solitary animal said...

คัดมา-ให้อ่านกันอีกแล้ว..

นสพ. กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่น เสาร์สวัสดี
ฉบับที่ 395 วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2549

คอลัมน์ คนคือการเดินทาง

โดย จักรพันธุ์ ขวัญมงคล


เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงปลาดาว


เมื่อไม่นานมานี้ผมบริหารเวลาว่างที่มีมากมายเหลือเฟือในเย็นวันอาทิตย์วันหนึ่งด้วยการออกไปเดินเล่นบริเวณสวนหย่อมเล็กๆ ที่อยู่ติดกับสนามกีฬาอเนกประสงค์ของหมู่บ้านที่ผมก็ไม่ได้เป็นสมาชิกในหมู่บ้านนี้ แต่บังเอิญว่าหอพักที่ผมอาศัยนั้นมันอยู่ใกล้ๆ กัน ผมก็เลยเหมาเอาเองว่าตัวเองก็มีสิทธิมาป้วนเปี้ยนในฐานะสมาชิกของหมู่บ้านคนหนึ่ง

นั่งดูดกาแฟเย็นดูเด็กหนุ่มเตะฟุตบอลด้วยความอิจฉาในพละกำลัง ดูเด็กสาวตีแบดมินตันอย่างสดใสร่าเริง ไกลออกไปอีกหน่อยผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหญิงและชายกำลังเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะของชายร่างกำยำที่สวมชุดรัดรูปจนน่าหวาดเสียวในฐานะผู้นำเต้นแอโรบิก ผมมองคุณลุงกับคุณป้าที่น่าจะเป็นคู่ชีวิตกันคู่หนึ่งจับมือกันเต้นด้วยความอิจฉา ชีวิตผมเมื่อแก่ตัวไปแล้วแค่คนที่จะมาจับมือกันเต้นนั้นก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ (ขนาดยังไม่แก่เฒ่าอย่างตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอเลย)

กำลังอิ่มใจอิ่มตากับฉากชีวิตยามเย็นอยู่เพลินๆ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกตัวว่ามีใครคนหนึ่งกำลังสะกิดเรียก พอหันไปจึงพบว่าเป็นสาวน้อยอวบอ้วนหน้าตามอมแมมอายุราว 7-8 ขวบคนหนึ่ง ยืนยิ้มให้ผม ผมหันไปยิ้มให้เธอเป็นเชิงถามว่ามีธุระอะไรกับน้า (จะเรียกพี่ก็อายแก่ใจ) หรือเปล่า เธอไม่ตอบแต่ยื่นมือชี้ไปยังด้านหลังของผม...ที่นั่น...ดอกต้อยติ่งกำลังบานสะพรั่งอวดสีม่วงอมขาวขึ้นอยู่ที่ริมรั้วเหล็ก ดอกต้อยติ่งแบบที่ตอนเด็กๆ ผมชอบเอาเมล็ดดิบที่ยังโตไม่เต็มที่ของมันไปแช่น้ำ แล้วรอให้มันแตกตัวดังแปะๆๆ นั่นแหละ แต่ดอกต้อยติ่งที่ขึ้นทะลุพื้นซีเมนต์อยู่ข้างหลังผมนี้คงหลุดรอดมือเด็กซุกซนจนออกดอกสวยอวดสายตาใครต่อใคร รวมทั้งเด็กหญิงมอมแมมคนนี้ด้วย ผมถามเธอว่าอยากได้ดอกต้อยติ่งนี้ใช่ไหม เธอพยักหน้าหงึกๆ

โดยปกติผมไม่นิยมเด็ดดอกไม้ แต่อาจเป็นเพราะรอยยิ้มบวกแววตาซื่อๆ และอาจจะรวมแก้มยุ้ยดำๆ เปรอะขี้มูกของเธอนั่นด้วยก็ได้ที่ทำให้ผมยื่นมือไปเด็ดดอกต้อยติ่งแล้วส่งให้เธอ เธอยื่นมือรับและยิ้มให้ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป...นาทีนั้นผมอยากจะร้องเรียกให้เธอกลับมา ถ้าเป็นไปได้ผมอยากสอนเธอว่าถ้ายังอยากเห็นดอกไม้สวย จงอย่าเด็ดมันออกมา ไม่มีดอกไม้ดอกไหนบนโลกใบนี้ที่ดูสวยงามตอนที่เราเด็ดมันมาปักแจกัน แต่ในความเป็นจริงผมทำไม่ได้ ถ้าไม่ถูกหาว่าบ้าก็อาจถูกครหาว่ากำลังสร้างภาพพจน์ที่ดีให้ตัวเอง

...............................................

สุดสัปดาห์ที่แล้วผมไปเที่ยวเกาะเสม็ดกับน้องๆ ที่บริษัท พวกเราสนุกสนานกันตามสมควร ได้ดื่มดวงอาทิตย์ อาบแสงจันทร์ สูดกลิ่นลม และหมกมุ่นกับทะเล (รวมทั้งไฮไลต์เด็ดประจำทริปนั่นก็คือการแข่งขันกระโดดน้ำจากสะพานปลา!) กันอย่างเต็มอิ่ม

เย็นวันอาทิตย์ ขณะที่ผมกำลังเล่นน้ำทะเลอยู่นั้น เท้าของผมก็บังเอิญไปเหยียบวัตถุแบนๆ ชนิดหนึ่งเข้า ด้วยความอยากรู้จึงหยิบมันขึ้นมาดูปรากฏว่ามันเป็นแผ่นกลมๆ แบนๆ แข็งพอประมาณ และมีขนเล็กๆ ขึ้นโดยรอบดูคล้ายจะเป็นสิ่งมีชีวิต อีกทั้งตรงกลางยังเห็นได้ชัดว่าเป็นรูปดาว...ปลาดาว...ถ้าจะว่ากันตรงๆ

ด้วยสติปัญญาอันคับแคบผมไม่ทราบจริงๆ ว่าแผ่นแบนๆ ที่มีรอยปลาดาวนี้คืออะไร ผมจึงหยิบมันให้น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ กันดู แล้วถามเธอว่ามันคืออะไร เธอตอบผมว่ามันคือปลาดาวที่ตายแล้ว เธอบอกว่าปลาดาวเวลาที่มันหมดอายุขัยบอกลาโลกใบนี้ไปแล้ว ซากสังขารของมันจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นทรงกลมแบนๆ และก็มีบางตัวเหมือนกันที่ตายในสภาพศพห้าแฉกไม่แปรรูป

นี่คือความรู้ใหม่ของผมเลยทีเดียว ไม่มีใครเคยบอกผมมาก่อนหน้านี้เลย ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจมาตลอดว่าปลาดาวเวลาตายแล้วก็จะคงสภาพวัตถุห้าแฉกแข็งๆ ไร้ชีพจรอันเป็นสัญญาณบ่งว่ามีชีวิตแบบเดียวเท่านั้น ที่หนักไปกว่านั้นคือ ผมเคยเขียนเรื่องสั้นชื่อ 'หลุมศพปลาดาว' ว่าด้วยชายอกหัก หมาตัวหนึ่ง และปลาดาวที่ตายแล้ว (ในสภาพห้าแฉกตามที่ผมเข้าใจ) ลงตีพิมพ์ในนิตยสารเป็นเรื่องเป็นราวให้ได้อับอายมาแล้วด้วย

ผมถามย้ำเธอว่าเธอไม่ได้หลอกผมใช่ไหม เธอยืนยันว่าเป็นความจริงแท้ (อย่างน้อยเธอก็ยืนยันว่าเธอเรียนมาอย่างนี้) แถมเธอยังมีเซอร์ไพรส์ตีหัวผมอีกรอบด้วยคำพูดว่า “พี่รู้ไหม เวลาที่เราหั่นหรือบิปลาดาวที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนที่ถูกหั่นหรือบิออกมาส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นปลาดาวตัวใหม่”

“เฮ้ย??!! นี่มันเข้าขั้นมหัศจรรย์เลยนะนี่” ผมตอบเธอไปอย่างนี้ จะว่าไปนี่มันเป็นการ “บิเพื่อก่อ” ชัดๆ

เธอมองหน้าผมคล้ายจะยืนยันว่า “ก็มันมหัศจรรย์น่ะสิ (ไอ้โง่)”

ผมมองหน้าเธออีกครั้งแล้วจึงลองบิศพปลาดาวออกมาส่วนหนึ่ง ก่อนจะเขวี้ยงมันออกไปในทะเลเบื้องหน้า ผมรู้ว่าส่วนที่บิออกไปคงไม่กลายเป็นปลาดาวตัวใหม่แน่นอน เพราะมันตายแล้ว

...............................................

ผมไม่แน่ใจว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวพันกันที่ตรงไหน แต่อยู่ๆ ผมก็กลับรู้สึกว่าสองเรื่องนี้มีบางอย่างเชื่อมโยงกัน หรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกันเลยด้วยซ้ำไป ธรรมชาติมอบทุกอย่างบนโลกใบนี้ (ว่ากันให้ถึงที่สุด อาจจะมอบทุกอย่างที่อยู่นอกโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน) ไว้ให้ทุกสิ่งที่มีชีวิตได้พึ่งพาอาศัย ปฏิสัมพันธ์ ทั้งทางเคมีและทางความรู้สึก สุดท้ายเพื่อให้เราอยู่ร่วมกันเพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิต เหมือนเด็กผู้หญิงที่ต้องเรียนรู้เรื่องดอกต้อยติ่ง ผมที่ต้องเรียนรู้เรื่องปลาดาว อะไรทำนองนั้น

ธรรมชาติให้เราอยู่ร่วมกัน แต่บังเอิญธรรมชาติไม่ได้บอกว่าเราควรอยู่ร่วมกันแบบไหน เมื่อไหร่ที่ควรเด็ดออกให้งอกเงย เมื่อไหร่ที่ควรสงวนไว้ให้งดงาม เรื่องเหล่านี้เราต้องเป็นผู้หาคำตอบด้วยตัวของเราเองเท่านั้น ถ้าธรรมชาติเป็นครู ก็คงเป็นครูสอนวิชาแนะแนว ที่ไม่สอนอะไรเลยนอกจากปล่อยให้เราอ่านหนังสือจนหมดคาบเรียน ธรรมชาติสอนเราโดยไม่ได้สอนอะไรเราเลย

ผมตั้งใจว่าถ้าเย็นวันอาทิตย์ไหนผมได้เจอเด็กหญิงอวบอ้วนหน้าตามอมแมมคนนั้นอีกครั้ง ผมจะบอกเธอว่า จงยืนดูดอกไม้เถอะสาวน้อย อย่าได้มือไวปลิดมันออกจากต้น และจำไว้ว่าปลาดาวเมื่อตายแล้วก็ไม่ได้คงรูปดาวเสมอไป

เธอเองคงต้องเรียนรู้ว่าโลกใบนี้มีหลายสิ่งที่ควรฉีกหรือเด็ดให้ขาด และอะไรที่ควรเก็บรักษามันไว้อย่างเดิมต่อไป

Saturday, December 16, 2006 5:19:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ต้องขออนุญาตนำมาแปะเพราะเสียงเรียกร้องจากอาจารย์ยุ่ง (my friend for life) ในกระทู้ข้างล่าง - slow but sure และนอกเหนือไปจากที่ผู้เขียนท่านนี้ครั้งนึงอุตส่าห์แวะมาทักทาย blog เซอร์ๆ แห่งนี้ แต่นั่นไม่เท่ากับความรู้สึกที่ชวนให้กระทบใจเมื่อได้อ่านงานเขียนเหงาๆ ของคุณจักรพันธุ์


ปล. "ชีวิตผมเมื่อแก่ตัวไปแล้วแค่คนที่จะมาจับมือกันเต้นนั้นก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ (ขนาดยังไม่แก่เฒ่าอย่างตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอเลย)"

ฮ่าๆๆ พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นได้...เอาเป็นว่าขอให้คนโสดที่ผ่านมาแถวนี้จงประคองความโสดอย่างมีสติถ้วนทั่วทุกคนเทอญ และขอให้คนโสดจงเจริญๆ

ไชโย 3 ครั้ง !!!

:p

Saturday, December 16, 2006 5:31:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

โสดอย่างมีสติ แหม..โดนใจจริงๆ ท่าทางคุณโซกำลังhappyสุดๆกับเดือนสุดท้ายของปีจริงๆ

blue sea

Monday, December 18, 2006 12:38:00 PM  
Blogger solitary animal said...

สุกๆ ดิบๆ ตามอัตภาพเหมือนทุกเดือนที่ผ่านมานั่นแหละ คุณ blue sea..แถม 'สติ'(และสตังค์)ก็ขาดๆ เกินๆ เหมือนเดิมเช่นกัน :p

-สาวโซ


ปล. เมื่อไรจะได้ชมภาพใน portfolio ของคุณ blue sea บ้างล่ะคะ

Monday, December 18, 2006 1:39:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

กำลังเลือกรูปและuploading ครับไม่นานเกินรอ อาจไม่ใช่แบบที่คุณโซชอบนะครับ คงค่อยๆload เสร็จแล้วจะบอกคุณโซคนแรกเลย:)

blue sea

Monday, December 18, 2006 7:30:00 PM  
Blogger solitary animal said...

โอ้ววว..ตื่นเต้นๆ

เหมือนรู้ข่าวว่าเพื่อนกำลังสร้างบ้านแล้วเอ่ยปากชวนเราไปเที่ยวบ้านยังไงยังงั้นเลย

ขอให้ไม่นานเกินรอจริงๆ นะ คุณ blue sea :)

Monday, December 18, 2006 8:02:00 PM  
Blogger Polar blue sea said...

เพิ่งเริ่มตอกเสาเข็มครับ ค่อยๆpostไปเรื่อยๆ

Tuesday, December 19, 2006 4:29:00 PM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook