There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Slow but sure...

Tuesday, November 21, 2006

Slow but sure...

















ความเป็นเพื่อนเดินทางช้า...

14 Comments:

Blogger solitary animal said...

-คัดมา
นสพ. กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่น เสาร์สวัสดี
ฉบับที่ 391 วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2549

คอลัมน์ : คนคือการเดินทาง

จักรพันธุ์ ขวัญมงคล

ความเป็นเพื่อนเดินทางช้า


เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้พบเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

ไม่ใช่แค่คนเดียว เพราะคราวนี้พวกเรารวมตัวได้มากกว่ายี่สิบคน เรียกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรุ่นเราเลยก็ว่าได้ นี่ยังไม่นับ เพื่อนเขย- เพื่อนสะใภ้ ที่ติดสอยห้อยตามกันมา รวมแล้วตัวเลขน่าจะเหยียบสามสิบคน

มารวมตัวกันได้มากเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้ แน่นอน, เหตุผลไม่น่าหนีไกลไปจากสองข้อนี้ หนึ่ง-ใครบางคนจากเราไป และสอง- ใครสักคนกำลังจะแต่งงาน

ในกรณีนี้เป็นข้อหลัง แต่ไม่ใช่ใครสักคน เพราะมันเป็นใครสักสองคนที่กำลังจะแต่งงาน...ด้วยกัน

ใช่แล้ว เพื่อนของเราสองคนกำลังจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ให้มากกว่าคำว่าเพื่อน เขาและเธอกำลังแต่งงานใช้ชีวิตคู่กัน (น่าจะเป็นคู่แรกและคู่เดียวของรุ่นเรา) และการรวมตัวครั้งนี้ก็เพื่อให้เพื่อนๆ ได้รับทราบและรับการ์ดแต่งงานของพวกเขาโดยพร้อมเพรียงกัน

และสำหรับเพื่อนหนุ่ม นี่ถือเป็นการซ้อมใหญ่มหกรรมดื่มฉลองที่กำลังจะเดินทางมาถึงในอีกไม่ช้านาน

เวลานัดหมายกำหนดไว้หลวมๆ ที่สองทุ่ม ใครมาเป็นคนแรก-กลุ่มแรกผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมมาเป็นคนสุดท้ายเหมือนเคย ที่สำคัญผมเป็นคนเดียวที่มาแบบ "คนคี่" (แปลว่าไม่ได้มาเป็นคู่) ซึ่งทำให้ผมตระหนักได้ว่าการมาสายนั้นเลวร้ายแล้ว การมาคนเดียวนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า

เพราะพลันที่โผล่สังขารไปให้เพื่อนเห็น ผมก็ถูกประณามหยามเหยียดราวกับไปทำเรื่องผิดบาปใหญ่หลวง เพื่อนกลุ่มหนึ่งถึงกับตั้งกระทู้ถามว่า “มึงทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมมาเอาป่านนี้” ส่วนเพื่อนอีกกลุ่มก็ถามว่า “นี่มึงทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมไม่รู้จักหาแฟนมาด้วย” และยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งถามมันทั้งสองอย่าง

ผมไม่มีคำตอบให้ใครเลยทั้งสองข้อ ทำได้ดีที่สุดก็แค่ “ขอโทษที่สาย-ขออภัยที่โสด” เพื่อนหญิงปากจัดจ้านคนหนึ่งถากถางว่า เรื่องสาย ไม่เป็นไรเพราะชินแล้ว ส่วนเรื่องโสดนั้นอภัยให้ไม่ได้ เพราะไม่มีใครได้เห็น “คนของผม” มากว่าสี่ปีแล้ว มันนานเสียจนเพื่อนๆ เริ่มปลงใจกันแล้วว่าผมคงเป็นคนสุดท้ายของรุ่นที่จะได้ไขกุญแจเปิดประตูวิวาห์เหมือนคนอื่น

หลังจากทักทายทุกคนรวมทั้งว่าที่ เจ้าบ่าว-เจ้าสาว เรียบร้อยแล้ว ผมก็ถูกผลักไสใส่สายพานให้ไปรวมกลุ่มกับพวกร่ำสุราที่เตรียมทุกอย่างรอท่าต้อนรับผมเรียบร้อยนานแล้วอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ซึ่งผมก็ไสหัวไปทางนั้นด้วยความยินดีและเต็มใจ

นานแล้วที่เรา ไม่ได้นั่งกิน, ดื่ม และพูดคุยถึงชีวิตของแต่ละคนแบบเต็มที่ขนาดนี้

เต็มที่เสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่า ไม่ใช่แค่อาหารหรือเครื่องดื่มทั้งหลายเท่านั้นที่พวกเราดื่มกิน แต่พวกเรายัง "หิวกระหาย" ความเป็นไปของแต่ละคน และบริโภคมันแบบไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ

ก็ไม่ได้เจอกันนานเหลือเกิน ชีวิตมันก็หมุนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กว่าจะเท้าความเล่าอะไรที เรื่องเล่าเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ลำพังเรื่องส่วนตัวของผม เล่าแบบรวบรัดก็ยังกินเวลามากเอาการ ไอ้ครั้นจะเพิกเฉยไม่เล่า สายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนก็ส่งสัญญาณเป็นนัยๆ ว่า ถ้ามึงไม่เล่า ก็อย่าหวังว่าจะได้กินอย่างสงบสุข

นั่นทำให้วงสนทนาของเรากินเวลาล่วงเลยนานเนิ่น แต่ก็แปลกที่ผมไม่สังเกตเห็นใครเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องเล่าของใครเลย นอกจากจะไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วพวกเราก็ยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะสรรหาถ้อยคำมาทับถม, เชือดเฉือน หรือล้อเลียนกันได้ไม่หยุดหย่อน สร้างเสียงหัวเราะดังลั่นได้ตลอดคืนนั้น

แม้กระทั่งเพื่อนคู่ที่เคยมีปัญหาตอนเรียน ถึงขั้นลงมือลงไม้ ไม่พูดไม่จา กันเป็นปีๆ นั้น ตอนนี้ผมก็เห็นมันชงเหล้าให้กันอย่างเปี่ยมมิตรภาพ ราวกับจดจำความบาดหมางแต่หนหลังไม่ได้แล้ว

ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้หรอก ขนาดผมที่เป็นคนสังเกตการณ์ (ตอนมันชกกันผมก็ไม่ห้าม) ยังจำได้ แล้วคู่กรณีมีหรือจะหลงลืม พวกมันไม่ลืมหรอก แต่เรื่องไร้สาระแบบนั้นไม่ควรที่จะจดจำนำมาปิดกั้นจิตใจของเราต่างหาก

ช่างเป็นภาพที่น่าปลาบปลื้มและชวนให้อบอุ่นหัวใจ เมื่อเพื่อนได้หวนกลับมาเจอเพื่อน ช่วงหนึ่งผมถึงกับนั่งมองเพื่อนคุยกันไป ดื่มเหล้าไปอย่างร่มเย็นในจิตใจ โดยแทบไม่ได้คุยกับใครจริงจังเลยด้วยซ้ำ

นอกจากคู่กรณีที่เคยประกาศไม่เผาผีกันแต่กลับมานั่งชนแก้วกันแล้ว ยังมีภาพของเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่กำลังคาดคั้นสอบปากคำเจ้าบ่าว-เจ้าสาวว่าไปหลงผิดกันอีท่าไหน ตอนเรียนก็ไม่เห็นจะมีสัญญาณเตือน ยังมีภาพของเพื่อนหญิงอีกกลุ่มที่กำลังคุยเรื่องลูก พวกเธอกำลังตั้งท้องหรือไม่ก็เป็นแม่คนไปแล้ว และยังมีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังพยายามขายประกันให้เพื่อนทั้งที่ตัวมันก็เมาจนลิ้นคับปากแล้วยังมีหน้ามาพูดเรื่องเมาไม่ขับ

อ้อ! แล้วก็ยังมีภาพของเพื่อนหญิงอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังปรึกษาหารือว่าจะหาแฟนให้ผมยังไงดี พวกมันคงคิดไปแล้วว่าชีวิตรักของผมเป็นภาระที่พวกมันต้องรับผิดชอบ

นั่งๆ อยู่ผมก็หวนนึกถึงคำพูดของเพื่อนหญิงคนหนึ่งซึ่งเธอไม่ได้อยู่ที่นี่และไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ อุบัติเหตุทางความรู้สึกบางชนิดไม่อนุญาตให้เธอมาร่วมโต๊ะนี้ได้ เธอจึงเหมือนขาดการติดต่อไปในที่สุด แต่คำพูดของเธอยังคงอยู่ในหัวของผม

ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกผมว่า “เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว คบกันช้าๆ หน่อยแต่ก็อยู่กันได้นานดี เป็นแฟนก็ต้องมีวันเลิก แต่เพื่อน...ลองเป็นแล้วจะได้เป็นตลอดไป ไม่มีวันเลิก”

แล้วผมก็มองเพื่อนชายอีกคนหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เพื่อนหญิงคนนี้หายไปจากวงโคจรของพวกเรา ไอ้หมอนี่กำลังเฮฮา คงมีความสุขเหมือนผมและคนอื่นๆ

ผมจึงเริ่มตระหนักในความหมายของคำพูดเมื่อสิบปีที่แล้วของเธอ ความเป็นเพื่อนเดินทางช้า มันค่อยๆ สะสมระยะทางทีละนิด และยังรักษาระยะห่างอยู่ในอัตราส่วนที่พอดี ไม่เหมือนความสัมพันธ์ประเภทอื่นที่รุดหน้าสะสมไมล์อย่างรวดเร็ว อยู่ในระยะกระชั้นชิดแต่ก็เต็มไปด้วยอัตราความเสี่ยงสูง ซึ่งกลิ่นอายของความสุขที่ผมกำลังสูดดมอยู่ในคืนนี้ ก็เหมือนจะย้ำเตือนคำของเธอว่า ถึงความเป็นเพื่อนจะเดินทางช้า แต่เชื่อเถอะว่าเราจะได้เดินทางไปด้วยกันอีกนานเท่านาน จงอย่ารีบร้อนแปรเปลี่ยนเป็นอื่น

และคงจะเช่นเดียวกับผมที่ยังคงมาช้ากว่าคนอื่นเหมือนเดิม

Tuesday, November 21, 2006 9:14:00 AM  
Blogger solitary animal said...

อ่านแล้วอดไม่ได้จะนึกถึงอะไรต่อมิอะไรในชีวิตที่ผ่านมาจริงๆ เลยซิ อ่ะฮ้าๆ พับผ่าๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ถึงความเป็นเพื่อนจะเดินทางช้า แต่เชื่อเถอะว่าเราจะได้เดินทางไปด้วยกันอีกนานเท่านาน จงอย่ารีบร้อนแปรเปลี่ยนเป็นอื่น

และคงจะเช่นเดียวกับฉันที่ยังคงมาช้ากว่าคนอื่นเหมือนเดิม
.
.
.
.
.
.
.
.

Tuesday, November 21, 2006 9:21:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วโดนใจจริงๆเลย "อุบัติเหตุทางความรู้สึก" มันดูน่าอึดอัดใจจริงๆเลย ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นกำลังเฮฮา ใครบางคนกำลังประสบอุบัติเหตุทางความรู้สึก น่าเศร้าจริง
ถึงความเป็นเพื่อนจะเดินทางช้า แต่เดินไปด้วยกันได้นานแน่นอน


blue sea

Tuesday, November 21, 2006 1:37:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ใช่ค่ะ อ่านแล้วโดน...


ราวกับว่าตัวเองเป็นเพื่อนหญิงคนนั้นที่ผู้เขียนกล่าวถึง..ในขณะที่เพื่อนๆ กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่บนโต๊ะอาหารที่ร้านอาหารตามสั่งบนชั้นสองของตลาดสดสามย่าน แต่เพื่อนหญิงคนนึงไม่สามารถไปร่วมโต๊ะนี้ได้เพราะเธอพยายามหลุดออกจากวงโคจรของเพื่อนๆ ด้วยอุบัติเหตุทางความรู้สึกบางอย่าง



แหม! ทำตัวให้มัน dramatic ซะอย่างงั้น!

Tuesday, November 21, 2006 2:21:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

ขอมอบเนื้อเพลงนี้ให้คุณโซ หวังว่าเวลาจะทำให้"อุบัติเหตุทางความรู้สึก"นั้นจางหายไปและกลับมาเฮฮากลับเพื่อนๆแถวสามย่านได้เหมือนเดิม

Only time can heal

You hear a sound as she's leaving
You'll hear your heart pound so hard
You'll miss her warm touch and the way
Things once were
It's such a cold town when you miss her
It's not the same place no more
When it's hard to mend what's broken
And you still can't let her go

Beyond the storm there's an answer
Beyond the nights you spend alone
Beyond the headlights and the highways you go
You'll take a long ride without her
Until the tears dry away
In every way you try to reason
When there's no reason left to hold

Only time can heal the wounded of love
Any day now time will tell
Only love can turn it all around again
There's no heart that time can't heal

Whatever pieces you're missing
Whatever you leave behind
However you look at things they do change
It's not the same conversation
It's not the way that it was
There'll be one less tear tomorrow
There'll be one less night alone

Only time can heal the wounded of love
Any day now time will tell
Only love can turn it all around again
There's no heart that time can't heal


blue sea

Wednesday, November 22, 2006 4:28:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

บ่อยครั้งที่เพื่อนหลายคนชอบถามว่า
ไม่เจอหน้ากันนาน หายไปไหนมา

แต่ก็ไม่สามารถนึกคำตอบที่เหมาะสมและตรงใจได้ซักที

อ่านบทความนี้แล้วเลยได้คำตอบ เผื่อใครมาถามในครั้งหน้าจะได้ตอบว่า

"ไม่ได้หายไปไหนหรอก พอดีเกิดอุบัติเหตนิดหน่อย
อุบัติเหตุทางความรู้สึก"

ตอบแบบนี้สงสัยคงโดนเบิ๊ดกะโหลก

Thursday, November 23, 2006 8:18:00 AM  
Blogger un-assignment said...

นำเพลงไพเราะมาแจม

Castles In the Sand

For all of our toiled, all of our plans
Castles are built in the sand
And after the storm, after the waves
Together we’ll build it again

It’s not for the castle, not for the sand
Not for the view from sea to land
It’s for a smile that you can bring
It’s just to build a beautiful thing

***
The hurricane came just in a day
The life that we knew washed away
I watched as my hopes disappeared in the sand
Until I saw one outstretched hand

It’s not for the castle, not for the sand
Not for the view from sea to land
It’s for the people, the care you can bring
It’s just to build a beautiful thing

***
As much as I’ve mourned possessions that passed
Castles may not always last
Built for the process, not for forever
Built for the love we’re building together

It’s not for the castle, not for the sand
Not for the view from sea to land
It’s for the people, the care you can bring
To live is to build a beautiful thing

Thursday, November 23, 2006 3:40:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และเพลงเพราะๆ ความหมายดีๆ ช่วยปลอบประโลมวิญญาณได้ดีแท้ ขอบคุณหลายๆ ค่ะ :)

Friday, November 24, 2006 8:32:00 AM  
Anonymous Anonymous said...

สวัสดีครับคุณ solitary animal
ไม่ได้ตั้งใจจะมาล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัว แต่เพื่อนของผมส่งลิ้งก์หน้านี้มาให้ผมอ่านครับ หวังว่าคงจะไม่โกรธเคืองนะครับ
ผมแค่อยากขอขอบคุณที่ชื่นชอบบทความชิ้นนี้เท่านั้นแหละครับ และหวังว่าคุณ โซลิทารี่ฯ คงไม่ประสบพบ อุบัติเหตุทางความรู้สึกที่ไหนนะครับ ถ้ามีรีบรักษาให้หายโดยไวครับ

ขอบคุณอีกทีและสวัสดีครับ
จักรพันธุ์ ขวัญมงคล

Thursday, December 07, 2006 7:35:00 PM  
Blogger solitary animal said...

สวัสดีค่ะ คุณจักรพันธุ์

โอ้โห ลมอะไรพัดมาเนี่ย แฮ่ะๆ (เขินๆ)
แอบช็อคไป 3 วินาทีค่ะ แต่ก็รู้สึกยินดีมากๆ ที่อุตส่าห์แวะมาทักทายกัน!

บทความนี้อ่านแล้วกระทบความรู้สึกค่ะ โดยส่วนตัวชอบ...แต่ไม่ได้เกิดความรู้สึกเศร้าๆ หรือหดหู่อะไรเลย คุณจักรพันธุ์เขียนได้พริ้วดีแท้ (แสดงว่าต้องเขียนมาจากระดับวิญญาณจริงๆ ฮ่าๆๆ) เห็นภาพชัดเลย ชวนให้เราคิดถึงเพื่อนๆ สมัยเรียนที่ตอนนี้ต่างก็แยกย้ายไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน..ก็เท่านั้นเองค่ะ

แต่เขียนได้ดีมากจริงๆ นะคะ ชื่นชมๆ
(สารภาพว่าเราไม่เคยได้ยินหรือติดตามงานเขียนของคุณจักรพันธุ์มาก่อนเลยค่ะ)

-solitary animal

Friday, December 08, 2006 8:13:00 PM  
Blogger solitary animal said...

โอ้ยๆ อยากจะบ้าตาย...เพิ่งไป re-search เลยเพิ่งรู้ว่าคุณจักรพันธุ์เป็น somebody ที่มีชื่อเสียง (ถือว่าเราเชยมากก็แล้วกันงั้นน่ะ) ที่สำคัญคือเราไปพบว่ามีอีกบทความนึงที่คุณจักรพันธุ์เคยเขียนลงในเสาร์สวัสดีอีกเช่นกัน แล้วตอนเราอ่าน เราก็รู้สึกกระทบ-ใจ (อีกแล้ว) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกเดินทางไปปายอีกครั้งน่ะค่ะ

:)

Friday, December 08, 2006 9:46:00 PM  
Anonymous Anonymous said...

สวัสดีจ๊ะ เพิ่งมาตามอ่านหลังจากได้ยินชื่อเรื่อง "ความเป็นเพื่อนเดินทางช้า" จากคุณSA ตอนที่เรานั่งคุยกันที่ร้านข้าวต้มยามเช้า (กับอากาศร้อนๆ)ที่สวนหลวง ร.9...อ่านแล้วสะดุดกับคำว่า อุบัติเหตุทางความรู้สึก มากๆ เออ อ่านไปๆ ปรากฎว่า มีคนอื่นสะดุดกับคำนี้กันเต็มเช่นกัน แสดงว่า ในความรู้สึกแต่ละคนมีบาดแผลทั้งน้าน 555 ก็แหงละ ใครจะไม่เคยเจออุบัติเหตุละ...เขียนเรื่องสนุกดีคะ อ่านแล้วคิดถึงเพื่อนๆ และใครบางคน ไว้มีเรื่องใหม่ๆ เอามาลงอีกซิคะคุณ SA เคยอ่าน "หนึ่งวันเดียวกัน" ของคุณวินทร์ ไหม สนุกดี ภาพก็น่ารัก

Saturday, December 16, 2006 12:53:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ขอบคุณ อาจารย์ยุ่งที่แวะมาทักทายกันจ้า

รักอาจารย์ยุ่งมั่กๆ น๊ะ ขอส่งความปรารถนาดีถึงอาจารย์ยุ่ง & P'Lotus ด้วยนะฮ่ะ :)

ปล. ยังไม่ได้อ่าน "หนึ่งวันเดียวกัน" เลยอ่ะ ยุ่ง...เอามายืมอ่านโดยพลัน ;)

Saturday, December 16, 2006 4:51:00 PM  
Anonymous girl sex dog stories said...

He rolled over on his back and ordered me to mount him so hecould have me fuck him with me on top. She turned over and said Just leave me alone.
free xxx interaccial sex stories
gay black men sex stories
first sex stories incest
male gay first time stories
self bondage stories
He rolled over on his back and ordered me to mount him so hecould have me fuck him with me on top. She turned over and said Just leave me alone.

Saturday, December 04, 2010 8:03:00 PM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook