There are no coincidences in the universe.

Solitary Animal: Phra Panyanandha Bhikkhu

Monday, March 20, 2006

Phra Panyanandha Bhikkhu


ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุให้ท่านหายจากอาพาธและมีสุขภาพแข็งแรงไวๆ ค่ะ เพื่อท่านจะได้สอนสั่งสัตว์โลกอย่างพวกเราต่อไปอีกนานๆ

5 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ดีแล้ว ๆ เจ้าหนูน้อย อยู่ใกล้พระใกล้เจ้าตั้งแต่ยังตัวน้อย ๆ อย่างนี้ดีแล้ว รับรังสีธรรมไว้แต่เด็ก ๆ

..แล้วรู้มั๊ยล่ะนั่นว่าเจ้ากำลังถ่ายรูปกับใครอยู่ ยิ้มแฉ่งเชียว..

Tuesday, March 21, 2006 3:53:00 AM  
Blogger solitary animal said...

ตั้งชื่อได้แรงบันดาลใจจังค่ะ 'แปลงกิเลศเป็นฉันทะ' ว้าว ลึกซึ้งไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

:)

Tuesday, March 21, 2006 10:34:00 AM  
Blogger solitary animal said...

วันเสาร์ที่ผ่านมา พาพ่อไปตรวจ follow-up อาการเส้นเสียงไม่ทำงาน ซึ่งมีผลต่อการพูด ทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงได้เหมือนปกติ

หมอบอกว่าเป็นอาการเสื่อมของเส้นประสาทที่ทำงานบังคับเส้นเสียงนี้ อยู่ดีๆ มันก็ไม่ทำงาน สัณนิษฐานว่าเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

เสร็จจากพ่อตัวเอง แวะไปเยี่ยมพ่อของเพื่อนที่โรงพยาบาลทรวงอก จ.นนทบุรี อีก (เพื่อนคนนี้อยู่อังกฤษ) ปรากฏว่าป่ะป๊าของเพื่อนเกิดอาการ heart attack เป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้แล้ว


เฮ้ออ...

เมื่อพิจารณาว่าร่างกายของคนเราจะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก เราก็ไม่อยากนึกถึงตอนที่พ่อกะแม่ของเราเป็นอะไรไปเลย แต่ทว่าก็ต้องนึกถึงเอาไว้บ้าง ก็แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเท่านั้นเอง...

Monday, March 27, 2006 8:44:00 AM  
Blogger solitary animal said...

Excerpt from HOME WITH GOD in a Life That Never Ends...

The death of every person always serves the agenda of every other person who is aware of it. That is why they are aware of it.
Therefore, no death (and no life) is ever "wasted." No one ever dies "in vain."

Wednesday, March 29, 2006 2:32:00 PM  
Blogger solitary animal said...

ความตาย
สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน)
วัดบวรนิเวศวิหาร

“ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต
ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า”


แทบทุกคนเคยได้รับรู้ความหมายของข้อความข้างต้นนี้อยู่แล้ว แทนทุกคนเคยพูดออกจากปากตนเองมาแล้ว แม้จะไม่ตรงเป็นคำ ๆ แต่ก็มีความหมายตรงกันกับข้อความข้างต้นนี้ ทั้งยังเป็นการพูดชนิดที่เรียกว่าติดปากอีกด้วย คือ พูดอยู่เสมอ ได้รู้ได้เห็นการตายของผู้ใดทีไรก็มักจะอุทานเป็นการปลงด้วยความหมายดังกล่าวแทบทั้งนั้น นี่เป็นเพราะทุกคนมีความรู้อยู่แก่ใจว่า ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีสักคนเดียวที่จะหนีความตายพ้น นับว่าทุกคนมีความได้เปรียบอยู่ประการหนึ่งที่มีความรู้นี้ติดตัวติดใจอยู่ แต่แทบทุกคนก็มีความเสียเปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่ไม่เห็นค่า ไม่เห็นประโยชน์ของความรู้นี้ จึงมิได้ใส่ใจเท่าที่ควร ปล่อยปละละเลย รู้จึงเหมือนไม่รู้ สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์จึงเหมือนเป็นสิ่งไม่มีค่า

ความรู้ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายเป็นสิ่งเป็นคุณ เป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ แม้ใส่ใจในความรู้นี้ให้เท่าที่ควร ก็จะสามารถทำให้เกิดคุณเกิดประโยชน์แก่ตนเองได้มหาศาล ไม่มีคุณไม่มีประโยชน์ใดอาจเปรียบปานได้ เพื่อเสริมส่งความรู้นี้ให้บังเกิดคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ตนเองและแก่ส่วนรวม ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ท่านจึงสอนให้หัดตายเสียก่อนถึงเวลาตายจริง ท่านสอนให้หัดตายไว้เสมอ อย่างน้อยก็ควรวันละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 5 นาที 10 นาที เป็นอย่างน้อย

การหัดตายนั้นบางคนบางพวกน่าจะเริ่มด้วยหัดคิดถึงสภาพเมื่อตนกำลังจะถูกประหัตประหารให้ถึงตาย คิดให้ลึกซึ้งถึงความกลัวตายของตนในขณะนั้น แล้วก็คิดจนถึงเมื่อต้องถูกประหัตประหารถึงตายจนได้ แม้จะกลัวแสนกลัว แม้จะพยายามกระเสือกกระสนช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไร ก็หารอดพ้นไม่ต้องตายด้วยความทรมานทั้งกายทั้งใจ

การหัดตายด้วยเริ่มตั้งแต่ความกลัวตายแบบทารุณโหดร้ายเช่นนี้ มีคุณเป็นพิเศษแก่จิตใจ จักสามารถอบรมบ่มนิสัย ที่แม้เหี้ยมโหดอำมหิตปราศจากเมตตากรุณาต่อชีวิตร่างกายผู้อื่นให้เปลี่ยนแปลงได้ ความคิดที่จะประหัตประหารเขาเพื่อผลได้ของตนจักเกิดได้ยาก หรือจักเกิดไม่ได้เลย เพราะการพยายามหัดให้รู้สึกหวาดกลัว การถูกประหัตประหารผลาญชีวิตนั้น เมื่อทำเสมอ ๆ ก็จะมีผลเป็นความเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่นที่จะต้องหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ความเมตตาปรานีชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นก็จะเกิดได้ แม้จะไม่เคยเกิดมาก่อน ซึ่งเป็นการเมตตาปรานีชีวิตตนเองไปพร้อมกันด้วยอย่างแน่นอน ผู้ประหัตประหารเขา แม้จะได้สิ่งที่มุ่งได้ แต่ผลที่แท้จริงอันจะเกิดจากกรรมคือ การประหัตประหารที่ได้ประกอบกระทำลงไปนั้น จักเป็นทุกข์โทษแก่ผู้กระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรรมนั้นให้ผลสัตย์ซื่อนัก เหมือนผลของยาพิษร้ายกรรมนั้นเมื่อทำแล้วก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าไปแล้ว จักไม่เกิดผลแก่ชีวิต และร่างกายย่อมไม่มี ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นกรรมดีก็จักให้ผลดี ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จักให้ผลชั่ว เราเป็นพุทธศาสนิก นับถือพระพุทธศาสนา พึงมีปัญญาเชื่อให้จริงจังถูกต้องในเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมเกิด จักเป็นสิริมงคลเป็นความสวัสดีแก่ตนเอง

ยุคนี้สมัยนี้น่าจะง่ายพอสมควรสำหรับนึกให้กลัวการถูกประหัตประหารถึงชีวิต เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นแก่ใครต่อใครไม่ว่างเว้น อาจจะเกิดแก่เราเองวินาทีหนึ่งวินาทีใดก็ได้ หัดคิดไว้ก่อนจึงเป็นการเตรียมพร้อมที่ไม่ปราศจากเหตุผล แต่เป็นการไม่ประมาท ความหมายเกิดขึ้นได้แก่ทุกคนทุกหนทุกแห่งทุกเวลา พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวว่า “เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน” และ “จะอยู่ในอากาศ อยู่กลางสมุทร เข้าไปสู่หลืบเขาก็ไม่พ้นจากมฤตยูได้ ประเทศคือดินแดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ไม่มี” เราจะถูกมฤตยูรุกรานเมื่อไรที่ไหน เราไม่รู้ หายใจออกครั้งนี้แล้ว เราอาจไม่ได้หายใจเข้าอีก เมื่อถึงเวลาจะต้องตาย ไม่มีผู้ใดจะผัดเพี้ยนได้ ไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ เพราะ “เมื่อสัตว์จะตายไม่มีผู้ป้องกัน” และความผัดเพี้ยงกับมฤตยูอันมีกองทัพใหญ่นั้นไม่ได้เลย” ทุกย่างก้าวของทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่แห่งหนตำบลใด จึงทำไมถึงมือมฤตยูได้ ผู้ร้ายก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยู ทั้งที่ถุงใส่เงินแสนเงินล้านที่ไปปล้นจี้เขายังอยู่ในมือ ไม่ทันได้ใช้ได้เก็บเข้าบัญชีสะสมเพื่อความสมปรารถนาของตน นักการเมืองไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยูในขณะกำลังเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ใช้หัวคิดทุ่มเทเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของตน ผู้ที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุขกับครอบครัว เคี้ยวข้าวอยู่ในปากแท้ ๆ ก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยูโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้เหินฟ้าอยู่บนเครื่องบินใหญ่โตมโหฬารราวกับตึก ก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยูโดยไม่คาดคิด ผู้โดยสารเรือเดินสมุทรใหญ่ก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยูพร้อมกันมากมายหลายสิบชีวิต นักไต่เขาผู้สามารถก็เคยหายสาบสูญในขณะกำลังไต่เขาโดยตกเข้าไปอยู่ในมือมฤตยู ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันสัจจะแห่งพุทธศาสนสุภาษิตที่ยกขึ้นแสดงแล้วทั้งสิ้น

ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา คือ ผู้มีปัญญา ท่านจึงสอนให้เร่งอบรมมรณสติ นึกถึงความตาย หัดตายก่อนตายจริง จุดมุ่งหมายสำคัญของการหัดตายก็คือเพื่อปล่อยใจจากสิ่งทั้งหลายก่อนที่จะถูกความตายบังคับให้ปล่อยกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ทั้งหลายทั้งปวง หัดใจให้ปล่อยเสียพร้อมกับหัดตาย สิ่งอันเป็นเหตุให้โลภให้โกรธให้หลงให้เกิดตัณหาอุปาทาน หัดละเสีย ปล่อยเสีย พร้อมกับหัดตาย ซึ่งจะมาถึงเราทุกคนเข้าจริงได้ทุกวินาที

บางทีจะมีปัญหาว่า มีคุณพิเศษอย่างใดหรือ ที่จะควรละหรือเพียงหัดละความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาอุปาทานตั้งแต่ก่อนตาย จะไม่พูดถึงจุดประเสริฐสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ มรรคผลนิพพานอันจะเกิดได้เพราะการละกิเลสสำคัญสามกองเท่านั้น แต่จะพูดถึงผลได้ผลเสียธรรมดา ๆ ที่แท้พิจารณาเพียงสมควรก็จะเข้าใจ อันความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาอุปาทานนั้น บางครั้งบางคราวก็ทำให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหลายได้รับวัตถุตอบสนองสมปรารถนา เช่น ผู้มีความโลภอยากได้ข้าวของทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น บางครั้งบางคราวก็อาจขอเขา โกงเขา ลักขโมยเขา ได้สิ่งที่โลภอยากได้เป็นของตนสมปรารถนา หรือผู้มีความโกรธ อยากว่าเขา อยากทำร้ายร่างกายเขา บางครั้งบางคราวก็อาจทำได้สำเร็จสมใจ แต่ถ้าตกอยู่ในมือมฤตยูแล้ว เป็นคนตายแล้ว แม้ยังมีความโลภความโกรธความหลงตัณหาอุปาทานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจ ผู้ที่ตายแล้วจะไม่สามารถใช้กิเลสกองหนึ่งกองใดให้เกิดผลสนองความความปรารถนาต้องการได้เลย ผู้ตายแล้วที่มีความโลภก็ไม่อาจขอเขา ลักขโมยเขาได้ หรือผู้ตายแล้วที่มีความโกรธก็ไม่อาจว่าเขา ทำร้ายร่างกายเขาได้ กล่าวได้ว่าแม้ใจของผู้ที่ตายแล้วจะยังมีความโลภความโกรธความหลงตัณหาอุปาทานอยู่มากมายเพียงไร ก็จะไม่สามารถก่อให้เกิดผลดีอันเป็นคุณแก่ตนหรือแก่ผู้ใดได้เลย มีแต่ผลร้ายอันเป็นโทษสถานเดียวจริง

ปัญหาสืบเนื่องว่าไฉนเมื่อกิเลสเป็นคุณแก่ผู้ตายแล้วไม่ได้จึงเป็นโทษแก่ผู้ตายได้นั้น มีคำตอบดังนี้ เมื่อลมหายใจออกจากร่างไม่กลับเข้าอีกแล้ว สิ่งที่เป็นนามแลไม่เป็นด้วยสายตาเช่นเดียวกับลมหายใจคือจิตก็จะออกจากร่างนั้นด้วย จิตจะออกจากร่างโดยคงสภาพเดิม คือ พร้อมด้วยกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ที่มีอยู่ในจิตขณะยังอยู่ในร่าง คือยังเป็นจิตของคนเป็น ของคนยังไม่ตาย

พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ผู้ละโลกนี้ไปในขณะที่จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้” กิเลสทั้งปวงเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต จิตที่มีกิเลสเป็นจิตที่เศร้าหมอง กิเลศมากจิตก็เศร้าหมองมาก กิเลสน้อยจิตก็เศร้าหมองน้อย จิตที่มีกิเลศเศร้าหมอง เมื่อละจากร่าง ไปสู่ภพภูมิใด ก็จะคงกิเลสนั้นอยู่ คงความเศร้าหมองนั้นไว้ ภพภูมิที่ไปจึงเป็นทุคติ คติที่ชั่ว คติที่ไม่ดี มากน้อยหนักเบาตามกิเลสตามความเศร้าหมองของจิต

อันคำว่า “จิตเศร้าหมอง” ที่ท่านใช้ในที่นี้ มิได้หมายความเพียงว่าเป็นจิตที่หดหู่อยู่ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเท่านั้น แต่ “จิตเศร้าหมอง” หมายถึง จิตที่ไม่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว คือ เศร้าหมองด้วยกิเลส ดังกล่าวแล้วว่า จิตมีกิเลสมากก็เศร้าหมองมาก จิตมีกิเลสน้อยก็เศร้าหมองน้อย

อันกิเลสกองหลังหรือโมหะนั้นเป็นกองใหญ่กองสำคัญเป็นเหตุแห่งโลภะและโทสะ ความหลงหรือโมหะนั้น คือ ความรู้สึกที่ไม่ถูก ความรู้สึกที่ไม่ชอบ ความรู้สึกที่ไม่ควร คนมีโมหะ คือ คนหลง ผู้มีความรู้สึกไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรทั้งหลายคือคนมีโมหะ คือคนหลง เช่น หลงตน หลงคน หลงอำนาจ เป็นต้น

คนหลงตนเป็นคนมีโมหะมีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรในตนเอง คนหลงตนจะมีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ที่มีความดีความสามารถความวิเศษเหนือใครทั้งหลายเกินความจริง ซึ่งเป็นความรู้สึกในตนเอง ในคนที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร เมื่อมีความรู้สึกนี้อันเป็นโมหะความหลง โลภะและโทสะก็จักเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงตนว่าดีวิเศษเหนือคนทั้งหลาย ความโลภเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งอันสมควรแก่ความดีความวิเศษย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความโกรธด้วยไม่ต้องการให้ความดีความวิเศษนั้นถูกเปรียบหรือถูกลบล้างย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา นี้เป็นตัวอย่าง

คนหลงคนเป็นคนมีโมหะมีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรในคนทั้งหลาย คนหลงคนจะมีความรู้สึกว่าคนนั้นคนนี้ที่ตนหลงมีความสำคัญมีความดีความวิเศษเหนือคนอื่นเกินความจริง ซึ่งเป็นความรู้สึกในคนนั้น ๆ ที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร เมื่อมีความรู้สึกนี้อันเป็นโมหะ โลภะและโทสะก็จักเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงคนใดคนหนึ่งว่ามีความสำคัญความดีความวิเศษเหนือคนอื่น ความรู้สึกมุ่งหวังเกี่ยวกับคนใดคนหนึ่งนั้นเป็นโลภะ และเมื่อมีความหวังก็ต้องมีได้ทั้งความสมหวังและความผิดหวังเป็นธรรมดา ความรู้สึกผิดหวังนั้นเป็นโทสะนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความหลง คือ หลงคน

คนหลงอำนาจเป็นคนมีโมหะมีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรในอำนาจที่ตนมี คนหลงอำนาจจะมีความรู้สึกว่าอำนาจที่ตนมีอยู่นั้นยิ่งใหญ่เหนืออำนาจทั้งหลายเกินความจริงซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร เมื่อมีความรู้สึกนี้อันเป็นโมหะ โลภะ และโทสะก็จักเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงอำนาจของตนว่ายิ่งใหญ่เหนืออำนาจทั้งหลาย ย่อมเกิดความเหิมเห่อทะเยอทะยานในการใช้อำนาจนั้นให้เกิดผลเสริมอำนาจของตนยิ่ง ๆ ขึ้น ความรู้สึกนี้จัดเป็นโลภะได้ และแม้ไม่เป็นไปดังความเหิมเห่อ ทะเยอทะยาน ความผิดหวังนั้นจักเป็นโทสะ นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของความหลง คือ หลงอำนาจ

ผู้มีโมหะมาก คือ มีความหลงมาก มีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรมากในตน ในคน ในอำนาจ ย่อมปฏิบัติผิดได้มาก ก่อทุกข์โทษภัยให้เกิดได้มาก ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งแก่ส่วนน้อยและส่วนใหญ่ รวมถึงแก่ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธดำรัสที่ว่า “ผู้ละโลกนี้ไป ในขณะที่จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้” นั้น มีตัวอย่างที่จักยกขึ้นประกอบการพิจารณาให้เข้าใจพอสมควรดังนี้

บุคคลผู้มีโมหะมาก หลงตนมาก จัดเป็นพวกมีกิเลสมาก จิตเศร้าหมองมากจะเป็นผู้ขาดความอ่อนน้อม แม้แต่ต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมอย่างยิ่ง บุคคลเหล่านี้เมื่อละโลกนี้ไปในขณะที่ยังมิได้ละกิเลสคือโมหะให้น้อย จิตย่อมเศร้าหมอง ย่อมไปสู่ทุคติ ทุคติของผู้หลงตนจนไม่มีความอ่อนน้อมต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมอย่างยิ่ง คือจักเกิดในตระกูลที่ต่ำ ตรงกันข้ามกับผู้รู้จักอ่อนน้อมต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมที่จะไปสู่สุคติ คือ จักเกิดในตระกูลที่สูง นี้เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งชัดแจ้งเกี่ยวกับกรรมและการให้ผลของกรรม ผู้ใดทำกรรมใดไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว ทำเช่นใดจักได้เช่นนั้น ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมเป็นกรรมไม่ดี การเกิดในตระกูลที่ต่ำเป็นผลของกรรมไม่ดี เป็นผลที่ตรงตามเหตุแท้จริง เพราะผู้เกิดในตระกูลที่ต่ำปกติย่อมไม่ได้รับความอ่อนน้อมจากคนทั้งหลาย ส่วนผู้เกิดในตระกูลที่สูงปกติย่อมได้รับความอ่อนน้อม ความอ่อนน้อมที่ผู้เกิดในตระกูลสูงมีปกติได้รับนั้นเป็นผลที่เกิดจากเหตุอันเป็นกรรมดี คือ ความอ่อนน้อม

ที่กล่าวมาแล้วเป็นการยืนยันว่า ผู้มีปัญญาควรปฏิบัติตามคำแนะนำของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา หัดตายก่อนที่จะตายจริง หัดปล่อยใจจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจพร้อมกับการหัดตายก่อนที่จะถูกความตายมาบังคับให้เป็นไป การหัดตายที่ปราชญ์ในพระพุทธศาสนาท่านแนะนำ คือ การหัดอบรมความคิด สมมติว่าตนเองในขณะนั้นปราศจากชีวิตแล้ว ตายแล้ว เช่นเดียวกับผู้ที่ตายแล้วจริง ๆ ทั้งหลาย คิดให้เห็นชัดในขณะนั้น ว่าเมื่อตายแล้ว ตนจะมีสภาพอย่างไร ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะหยุดนิ่ง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นไปเก็บรวบรวมเงินทองของข้าวที่อุตส่าห์สะสมไว้เพื่อนำไปด้วยเลย จะเขยิบให้พ้นแดดพ้นมดสักนิ้วสักคืบก็ทำไม่ได้ หมดลมที่ตรงไหนก็จะเคลื่อนพ้นที่ตรงนั้นไปด้วยตนเองไม่ได้ เมื่อมีผู้มายกไปนำไปยังที่ซึ่งเขากำหนดว่าเหมาะว่าควร ก็ไม่อาจขัดขืนโต้แย้งได้ แม้บ้านอันเป็นที่รักที่หวงแหน เขาก็จะไม่ให้อยู่ จะยกไปวัด เคยนอนบนฟูกบนเตียงในห้องกว้าง ประตูหน้าต่างเปิดโปร่ง เขาก็จับใส่ลงไปในโลงศพที่แคบอับทึบ ไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง ตีตะปูปิดสนิทแน่น ไม่ให้มีแม้แต่ช่องลมและอากาศ จะร้องก็ไม่ดัง จะประท้วงหรืออ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ ไม่มีใครสนใจ สามีภริยา มารดาบิดา บุตรธิดา ญาติสนิทมิตรทั้งหลายที่เคยรักห่วงใยกันนักหนาก็ไม่มีใครมาอยู่ด้วยแม้สักคน อย่าว่าแต่จะเข้าไปนั่งไปนอนในโลงศพด้วยเลย แม้แต่จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงทั้งวันทั้งคืนยังไม่มีใครยอม บ้านใครเรือนใครก็พากันกลับหมด ทิ้งเราไว้แต่ลำพังในวัดที่อ้างว้าง มีศาลาตั้งศพ มีเมรุเผาศพ มีเชิงตะกอน มีศพที่เผาเป็นเถ้าถ่านแล้วบ้าง ยังไม่ได้เผาบ้าง มากมายหลายศพ ที่นี้เมื่อยังไม่ตาย เราเคยกลัว เคยรังเกียจ แต่เมื่อตาย เราก็หนีไม่พ้น เรามีอะไรหรือในขณะนั้น เราไม่มีอะไรเลย มือเปล่า เกลี้ยงเกลาไปทั้งเนื้อทั้งตัว เงินสักบาท ทองสักเท่าหนวดกุ้งก็ไม่มีติด มีแต่ตัวแท้ ๆ เขาไม่ได้แต่งเครื่องเพชรเครื่องทองของมีค่า หรือมอบกระเป๋าใส่เงินใส่ทองให้เลย อย่างดีเราก็มีเพียงเสื้อผ้าที่เขาเลือกสวมใส่แต่ศพให้ไปเท่านั้น ซึ่งไม่กี่วันจะชุ่มเลือดชุ่มน้ำเหลืองที่ไหลจากตัว มีใครเล่าจะมาเปลี่ยนชุดใหม่ให้ ทั้ง ๆ ที่ก็สะสมไว้มากมายหลายชุดที่ล้วนเป็นที่ชอบอกชอบใจว่าสวยว่างาม โอกาสที่จะได้ใช้เงินใช้เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องเพชรเครื่องทองเหล่านั้นสิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับลมหายใจ พร้อมกับชีวิตที่สิ้นสุดนั่นเอง ไม่คุ้มกันเลยกับความเหนื่อยยากแสวงหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่คุ้มกันเลยกับที่ถ้าจะต้องแสวงหามาสะสมโดยไม่ถูกไม่ชอบด้วยประการทั้งปวง ที่เป็นบาปเป็นอกุศล เป็นการเบียดเบียนก่อทุกข์ก่อภัยให้ผู้อื่น

หัดนึกถึงร่างของตนเองที่ตายแล้ว ขึ้นอืดอยู่ในโลง เริ่มปริ เริ่มแตก มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลออกทุกขุมขน เส้นผมเปียกแฉะด้วยเลือดด้วยหนอง ลิ้นที่เคยอยู่ในปากเรียบร้อยก็หลุดออกมาจุก นัยน์ตาถลนเหลือกลาน รูปร่างหน้าตาตนเองขณะนั้น อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นจำได้เลย แม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นไม่รับเกียจสะดุ้งกลัวเลย แม้แต่ตัวเองก็ต้องยากจักห้ามความรู้สึกนั้น ผิวพรรณที่อุตสาหพยายามถนอมรักษาให้งดงามเจริญตาเจริญใจ ด้วยหยูกยาเครื่องอบเครื่องลูบไล้เครื่องประทินอันมีกลิ่นมีคุณค่าราคาแพงทั้งหลาย มีลักษณะตรงกันข้ามกับความปรารถนาอย่างสิ้นเชิง เมื่อความตายมาถึง

เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษา หวงแหนทะนุบำรุงร่างของตนไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่แสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญาความสามารถด้วยเล่ห์ด้วยกลก็ตาม เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงร่างของตน ก็ติดกับร่างไปไม่ได้เลย เป็นจริงดังพุทธสาสนสุภาษิตว่า “ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้” ให้ความสุข ความสมบูรณ์ ความสะดวกสบาย ความปกป้องคุ้มกันร่างของคนตายไม่ได้ ต้องปล่อยให้ร่างนั้นผุพังเน่าเปื่อยคืนสู่สภาพเดิม เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ประจำโลกต่อไป ต้องตามพุทธศาสนสุภาษิตว่าไว้ “สัตว์ทั้งปวงจักทอดทิ้งร่างไว้ในโลก”

ผู้มีความเข้าใจว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร สุขทุกข์อย่างไร เราไม่รับรู้ด้วยแล้ว จึงไม่มีความหมาย นี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นโมหะสำคัญ ก็ที่เราเกิดเป็นนั่นเป็นนี่กันในชาตินี้ ทำไมเราจึงรู้สุขรู้ทุกข์ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู่ว่าเกี่ยวข้องกับชาติก่อนอย่างไร พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีชาติในอดีตและชาติในอนาคต เชื่อว่าก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ได้เคยเกิดชาติอื่นมาแล้ว และจะต้องเกิดในชาติหน้าต่อไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ถ้ายังทำกิเลสให้สิ้นไปไม่ได้ แต่ทั้งที่เชื่อเช่นนี้ก็ยังมีเป็นอันมากที่มีโมหะ หลงเข้าใจผิดอย่างยิ่งดังกล่าวแล้ว ว่าจะจบสิ้นความเป็นคนในชาตินี้แล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับชาติต่อไป เพราะฉะนั้นก็สำคัญที่ต้องแสวงหาความสุขสมบูรณ์ให้ตนเองให้เต็มที่ในชาตินี้ ผู้ใดมีโมหะหลงคิดผิดเช่นนี้ ผู้นั้นก็จะสามารถทำความผิดร้ายได้ทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ตน ทรยศคดโกง เบียดเบียนทำลายเขา แม้กระทั่งถึงชีวิต ก็ทำได้ เป็นการสร้างกรรมที่จะให้ผลแก่ตนเองแน่นอน และจะต้องเสวยผลเสวยทุกขเวทนาทั้งในโลกนี้และเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ตามกรรมของตน ต้องตามพุทธภาษิตว่า “กรรมของตนเองย่อมนำไปสู่ทุคติ”

ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก พึงมีปัญญาขยายความนี้ให้ดีว่า เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ชีวิตนี้น้อยนักก็คือ ชีวิตในชาตินี้น้อยนัก ชีวิตในชาติข้างหน้ายาวนานมิอาจประมาณได้ ฉะนั้นแม้รักตนจริงก็ควรรักให้ตลอดไป ถึงชีวิตข้างหน้าด้วย ไม่ใช่จะคิดเพียงสั้น ๆ รักแต่ชีวิตนี้เท่านั้น หาความสมบูรณ์พูนสุขให้ชีวิตนี้ในขอบเขตที่ถูกทำนองคลองธรรมเถิด ผลแห่งกรรมทั้งในชาตินี้และชาติหน้าต่อ ๆ ไป ที่จะต้องเสวยจะได้ไม่เป็นผลร้าย ไม่เป็นผลของบาปกรรม

ชีวิตใคร ใครก็รัก ชีวิตเรา เรารัก ชีวิตเขา เขาก็รัก ความตาย เรากลัว ความตาย เขาก็กลัว ของของใคร ใครก็หวง ของเราเราหวง ของเขา เขาก็หวง จะลักจะโกงจะฆ่าจะทำร้ายใครสักคน ขอให้นึกกลับกันเสีย ให้เห็นเขาเป็นเรา เราเป็นเขา คือเขาเป็นผู้จะลักจะโกงจะฆ่าจะทำร้ายเรา เราเป็นเขา ผู้จะถูกลักถูกโกงถูกฆ่าถูกทำร้าย ลองนึกเช่นนี้ให้เห็นชัดเจน แล้วดูความรู้สึกของเรา จะเห็นว่าที่เต็มไปด้วยโมหะนั้นจะเปลี่ยนเป็นเมตตากรุณาอย่างลึกซึ้ง ข่าผู้พยายามป้องกันสมบัติของตนจนเสียชีวิตนั้น น่าสลดสังเวชยิ่งนัก หรือข่าวผู้แม้กำลังจะสิ้นชีวิตแล้วแต่ก็ยังพยายามกระเสือกกระสนรักษาสมบัติมีค่าของตนที่ติดตัวอยู่ก็น่าสงสารอย่างที่สุด พบข่าวเหล่านี้เมื่อไรขอให้นึกถึงใจคนเหล่านั้น อย่าคิดทำร้าย อย่าคิดเบียดเบียนกันเลย ทุกคนจะต้องตายและจะตายในเวลาไม่นาน คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์ จะทำทุกวิถีทางแม้ที่ชั่วช้าโหดร้ายเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์ทำไมเล่า ความโลภโดยไม่มีขอบเขตนั้นเป็นทุกข์หนักนัก ตนเองทุกข์เพราะความอยากได้ แล้วก็แผ่ความทุกข์ความเดือดร้อนไปถึงคนอื่นอย่างน่าเนจอนาถ ขอแนะนำว่าถ้าทุกข์ถ้าร้อน เพราะความอยากได้ไม่สิ้นสุด จะไม่สามารถดับความทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีลักขโมยคดโกงหรือประหัตประหารผู้ใด แต่จะดับทุกข์นั้นได้ด้วยทำกิเลสให้หมดจดเท่านั้นและขออำนวยพร

เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ
จตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ
นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ
สูเจ้าทั้งหลาย จงมาเถิด
จงมาดูโลกนี้อันวิจิตรตระการตาดุจราชรถ
อันเหล่าคนเขลาพากันหมกอยู่
แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่

พุทธพจน์

Thursday, April 06, 2006 3:47:00 PM  

Post a Comment

<< Home

Gabu on Facebook