There are no coincidences in the universe.
Existing, living, or going without others; alone
View my complete profile
posted by solitary animal @ 8:16 PM
วันนี้ได้อ่านคอลัมน์สัมภาษณ์ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (หรือดร.อภิวัฒน์ นั่นเอง)ขณะที่เขานอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช คาดว่าก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียง 2-3 เดือนเท่านั้นเขาบอกเล่าถึง 23 สิ่ง ที่ได้เรียนรู้จากชีวิต...ขอคัดมาบางข้อที่รู้สึกตรงใจเรามาให้เพื่อนๆ แถวนี้ได้อ่านด้วยกัน...
ที่มา : GM Magazine===============มองย้อนกลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงินเพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร เราบอกว่าเราจะทำงานซัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน(อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเอง...)
ความทรงจำที่มีค่าสำหรับผมมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็กๆ ที่ผมอยู่กับตัวเอง:)
การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้หนึ่งชีวิตเป็นอะไรก็ได้ เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่า หรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร(ชอบอันนี้อ่ะ นึกถึงบทกวีอันนึง...)
ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ได้เพราะอะไร คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะนั่นเป็นการให้ที่แท้จริง แต่การที่เราได้รับนั่นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อย่างไร มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเราขณะที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ประเสริฐเขาทำกัน(นึกถึงความหมายดีๆ ในเพลง Wind beneath my wings)
ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่าวันของเราจะต้องมาถึง เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง เมื่อไหร่ปาติหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธที่จะตายไปกับโรคนี้(หากเราสามารถระลึกอยู่ได้ในทุกห้วงขณะว่าชีวิตเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เราก็คงไม่ฟูมฟายกับอะไรต่อมิอะไรบนโลกใบนี้เกินไป...เนอะ)
สุดท้าย...กวีที่เอ่ยถึงข้างบน หยิบมาฝากกันชื่อ 'หน้าสุดท้าย'โดย อัญชันขอลมหายใจทุกเข้าออกมีเพื่อพูนพอกออกสิ่งใหม่ขอทุกครั้งเต้นของหัวใจมีเพื่อคืนไปเป็นถ้อยความสังขารร่างนี้มีขึ้นใช้แค่หนักพื้นที่ยืนย่ำขอน้ำขอข้าวทุกคราวคำใช่ทำอาจมแค่ถมทิ้งขอสองจักษุที่ใช้จ้องใช่มองเพียงภาพระนาบนิ่งหากส่องลึกล้ำถึงความจริงทะลุลงพบสิ่งพ้นลูกตาดินน้ำลมไฟใช้สูดเป่าจะขอคืนสองเท่าอย่างรู้ค่าทุกย่างเท้าก้าวคุ้มเข้มเวลามิว่าถูกชังฤายังรักขอเผชิญความทุกข์ขั้นยิ่งใหญ่เพื่อความเข้าใจในทุกข์หนักขอชีวิตผ่านอุปสรรคทักเพื่อแจ้งจักวิถีแห่งชีวิตขอรู้รส หลง โลภ โกรธเพื่อมิโทษแต่ใครเป็นฝ่ายผิดขอมีมากศัตรูกว่าคู่มิตรเพื่อเรียนรู้คิดผ่านให้อภัยถึงมิรู้ความลับแห่งชีวิตจักพิชิตจนรู้เท่า ‘เรา’ จนได้ว่าทุกปราณออกเข้าเราทำอะไรและทุกๆ ลมหายใจใครคือเรา******
มันก็เป็นเช่นฉะนี้เองเน้อ คนเราเมื่อไรจะถึงตาเราเสียที
คุณ etcเราว่ามันคงเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลยอ่ะ ว่ามั๊ย?คงเป็นความรู้สึกที่เหมือนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ...เป็นความอิสระของวิญญาณที่ไม่ต้องจำกัดอยู่ในกายเนื้ออีกต่อไป...ถ้าโชคดี เราอาจจะได้ไป re-union กับคนที่เรารักที่ได้จากเราไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยก็เป็นได้นะ...
แวะไปอ่านบทความดีๆ ที่เชื่อมโยงกะเรื่องข้างบนพอดี เลยขออนุญาตนำมาแปะ...=======================คลื่นความคิด โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ : กฎแห่งกรรมยุคใหม่ ...(ตัดมาตอนสุดท้าย) ...ที่จริงแล้วไม่ได้คิดจะมาทำให้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรมากมาย แค่พยายามหาอะไรมาแลกเปลี่ยนพอให้เข้ากับบรรยากาศที่กำลังร้อนๆ อยู่ในตอนนี้ ซึ่งต้องขอยอมรับว่าเป็นบรรยากาศที่ไม่ว่าทั้งกฎหมายหรือกฎแห่งกรรมมักจะถูกมองว่าไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ จึงขอสรุปด้วยข้อเขียนของผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนาที่ได้เขียนไว้ เช่น ข้อเขียนของท่านที่ใช้ชื่อว่า “ไชย ณ พล” ซึ่งเป็นใครก็ไม่ทราบ เพราะไม่มีประวัติบอกไว้ แต่มีงานเขียนเรื่อง “พุทธศาสตร์ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ” ไว้นานแล้ว แต่เท่าที่ได้อ่านดูโดยเฉพาะบทสรุปก็ดูจะเข้าท่า ท่านเขียนไว้ว่า…“หลักการพุทธศาสน์ก้าวไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่าเมื่อกายแตกตายไป กระบวนการธรรมชาติมิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น สภาวะแห่งนามและนามรูปยังอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นพลังอันประณีตที่มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ประณีตกว่าอะตอมทั้งหลาย ซึ่งการคงอยู่ของสภาวะแห่งนามและนามรูปหลังกายแตกเพราะตายแล้วนั้น มี 3 ลักษณะคือ 1. หากชีวิตได้ผ่านชุดประสบการณ์ เกิดการเรียนรู้มามาก จนกระจ่างกฎเกณฑ์ กลไก และปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างโปร่งปรุ กระทั่งสามารถประเมินผลธรรมชาติได้โดยชัดแจ้งว่ามีความหมายเพียงใด และให้คุณค่าเพียงใด เข้าใจสภาพที่แท้จริงของธรรมชาติว่าไม่เที่ยง มีความบีบเค้นและไม่เป็นตนใดๆ ไร้การยึดถือสิ่งใดๆ ในความมีอยู่เป็นอยู่ทั้งปวง ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่มีดวงใจอันหมดจด เมื่อกายแตกแล้ว จะเข้าสู่สภาวะสุขอันหมดจด สงบระงับและอมตะตลอดกาล ซึ่งเรียกว่าพระนิพพาน อันเป็นวิวัฒนาการสูงสุดแห่งชีวิตจะพึงเข้าถึงได้2. หากชีวิตใดประสบการณ์น้อย การเรียนรู้ในสายวิวัฒนาการยังไม่เพียงพอ ยังไม่อาจประเมินค่าแท้จริงของโลกได้ เพราะไม่เข้าใจความจริงแท้แห่งธรรมชาติโลก ยังมีความยึดถือในอารมณ์ที่เสพโลก หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี้ที่จะสร้างอารมณ์ให้บังเกิด บุคคลเช่นนี้เมื่อกายแตกตายไปแล้ว นามรูป (สัญญา) ที่บันทึกเจตนานั้นไว้จะยังไม่ดับ วิญญาณจะยังเกาะอยู่กับสิ่งที่เขายึดถือ หน่วงอยู่ในสัญญาตามลักษณะภพ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ และเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกย่อมเกิด แก่ ตาย เคลื่อน และอุบัติขึ้นอีก (พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ2501 : 26 : 167)เมื่อบุคคลมีภพ (ภาวะ) อยู่ในใจ เมื่อตายไปแล้ว ใจจึงไปสร้างภพใหม่หลังการตาย ภพใหม่ที่บังเกิดขึ้นนี้เรียกว่ามิติทิพย์ อันประกอบด้วย พรหมโลก เทวโลก ภพเปรต และภพนรก การจะไปอยู่ในภพใดขึ้นกับว่าเขายึดถือภาวะอารมณ์และความอยากอย่างใดในนามรูป กล่าวคือก. ถ้าบุคคลมีความโกรธ หน่วงยึดอารมณ์ พยาบาทมาก เป็นภาวะอยู่ในใจ เมื่อกายแตกแล้ว นามรูปก็จะไปอยู่ในภพที่มีความโกรธกับเหล่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยพยาบาท มีการกระทำต่อกันอย่างโหดร้าย หรือที่เรียกว่านรก ข. ถ้าบุคคลมีความโลภ หน่วงยึดอารมณ์กระหายอยาก อย่างไม่ยับยั้งเป็นภาวะอยู่ในใจ เมื่อกายแตกแล้ว นามรูปก็จะไปอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยความอดอยาก แห้งแล้ง กันดาร กับสัตว์ที่มีความกระหายอยู่เนืองนิตย์ หิวโหย ทรมานยิ่ง หรือที่เรียกว่าเปรตค. ถ้าบุคคลใดมีคุณธรรมงาม มีความละอายต่อความผิด (หิริ) มีความเกรงกลัวต่อโทษภัย ต่อตนและคนอื่นแม้น้อยนิด (โอตตัปปะ) เป็นภาวะอยู่ในจิตใจ เมื่อกายแตก จะไปอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยสิ่งดีงาม หาสิ่งเลวทรามแม้น้อยนิดก็ยาก อยู่ร่วมกับผู้มีความสำรวมระวังกันเนืองนิตย์ ที่จะกอปรแต่กิจอันดีงาม เรียกว่าเทวโลกง. ถ้าบุคคลใดมีคุณธรรมประเสริฐ ทั้งยังกอปรด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อปวงสัตว์ หรือทรงฌานสมาบัติอันมั่นคง เมื่อกายแตก จะไปอยู่ในภาวะที่มีเสถียรภาพสูง แต่ไม่สถาพร เต็มไปด้วยความสงบ เยือกเย็นและอิ่มสุขกับผู้มีคุณสมบัติเดียวกันทั้งหลาย ภาวะนี้เรียกว่าพรหมโลกนี่คือภพใหญ่ 4 ภพ ที่นามรูปซึ่งยังมีการยึดเหนี่ยวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะพึงเข้าถึงหลังการแตกมลายของกายธาตุ…3. หากชีวิตใด แม้ประสบการณ์และการเรียนรู้ยังไม่มากพอที่จะเข้าใจแจ้งแทงตลอดธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง แต่กำลังเพียรพยายามเรียนรู้อยู่ ทั้งไม่มีคุณสมบัติใดๆ ตามภาวะแห่งใจที่ต้องไปอยู่พรหมโลก เทวโลก ภพเปรต และภพนรก และใจยังหน่วงยึดเหนี่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ นามรูปก็จะมาเกิดในโลกมนุษย์อีก โดยเข้าสู่ปฏิสนธิเซลล์ ในขณะที่สัตว์ผู้และสัตว์เมียผสมพันธุ์กัน แม้บุคคลเช่นนี้จะเกิดในโลกมนุษย์อีก แต่สถานะอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ สถานะจะเปลี่ยนแปลงแปรตามสภาวะแห่งจิตใจที่ยึดถือสิ่งใดไว้ในนามรูป…”เรื่องที่พูดคุยกันนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นของฝากกันในสัปดาห์แห่งวันสำคัญทางศาสนา ท่ามกลางบรรยากาศระอุอ้าวทางการเมืองที่มีการพูดถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และกฎแห่งกรรม กันมากขึ้น .=======================ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ถ้าใครสนใจ 'กฎแห่งกรรมยุคใหม่ ' ไปอ่านเต็มๆ ได้ที่เวปประชาไทตาม url ข้างล่างนี้เลยhttp://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=2830&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai
Your site is on top of my favourites - Great work I like it.»
Here are some latest links to sites where I found some information: http://indexmachine.info/3350.html or http://googleindex.info/2893.html
Post a Comment
<< Home
13 Comments:
วันนี้ได้อ่านคอลัมน์สัมภาษณ์ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (หรือดร.อภิวัฒน์ นั่นเอง)ขณะที่เขานอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช คาดว่าก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น
เขาบอกเล่าถึง 23 สิ่ง ที่ได้เรียนรู้จากชีวิต...
ขอคัดมาบางข้อที่รู้สึกตรงใจเรามาให้เพื่อนๆ แถวนี้ได้อ่านด้วยกัน...
ที่มา : GM Magazine
===============
มองย้อนกลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงินเพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร เราบอกว่าเราจะทำงานซัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
(อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเอง...)
ความทรงจำที่มีค่าสำหรับผมมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็กๆ ที่ผมอยู่กับตัวเอง
:)
การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้หนึ่งชีวิตเป็นอะไรก็ได้ เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่า หรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร
(ชอบอันนี้อ่ะ นึกถึงบทกวีอันนึง...)
ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ได้เพราะอะไร คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะนั่นเป็นการให้ที่แท้จริง แต่การที่เราได้รับนั่นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อย่างไร มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเราขณะที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ประเสริฐเขาทำกัน
(นึกถึงความหมายดีๆ ในเพลง Wind beneath my wings)
ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่าวันของเราจะต้องมาถึง เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง เมื่อไหร่ปาติหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธที่จะตายไปกับโรคนี้
(หากเราสามารถระลึกอยู่ได้ในทุกห้วงขณะว่าชีวิตเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เราก็คงไม่ฟูมฟายกับอะไรต่อมิอะไรบนโลกใบนี้เกินไป...เนอะ)
สุดท้าย...กวีที่เอ่ยถึงข้างบน หยิบมาฝากกัน
ชื่อ 'หน้าสุดท้าย'
โดย อัญชัน
ขอลมหายใจทุกเข้าออก
มีเพื่อพูนพอกออกสิ่งใหม่
ขอทุกครั้งเต้นของหัวใจ
มีเพื่อคืนไปเป็นถ้อยความ
สังขารร่างนี้มีขึ้น
ใช้แค่หนักพื้นที่ยืนย่ำ
ขอน้ำขอข้าวทุกคราวคำ
ใช่ทำอาจมแค่ถมทิ้ง
ขอสองจักษุที่ใช้จ้อง
ใช่มองเพียงภาพระนาบนิ่ง
หากส่องลึกล้ำถึงความจริง
ทะลุลงพบสิ่งพ้นลูกตา
ดินน้ำลมไฟใช้สูดเป่า
จะขอคืนสองเท่าอย่างรู้ค่า
ทุกย่างเท้าก้าวคุ้มเข้มเวลา
มิว่าถูกชังฤายังรัก
ขอเผชิญความทุกข์ขั้นยิ่งใหญ่
เพื่อความเข้าใจในทุกข์หนัก
ขอชีวิตผ่านอุปสรรคทัก
เพื่อแจ้งจักวิถีแห่งชีวิต
ขอรู้รส หลง โลภ โกรธ
เพื่อมิโทษแต่ใครเป็นฝ่ายผิด
ขอมีมากศัตรูกว่าคู่มิตร
เพื่อเรียนรู้คิดผ่านให้อภัย
ถึงมิรู้ความลับแห่งชีวิต
จักพิชิตจนรู้เท่า ‘เรา’ จนได้
ว่าทุกปราณออกเข้าเราทำอะไร
และทุกๆ ลมหายใจใครคือเรา
******
มันก็เป็นเช่นฉะนี้เองเน้อ คนเรา
เมื่อไรจะถึงตาเราเสียที
คุณ etc
เราว่ามันคงเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลยอ่ะ ว่ามั๊ย?
คงเป็นความรู้สึกที่เหมือนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ...เป็นความอิสระของวิญญาณที่ไม่ต้องจำกัดอยู่ในกายเนื้ออีกต่อไป...ถ้าโชคดี เราอาจจะได้ไป re-union กับคนที่เรารักที่ได้จากเราไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยก็เป็นได้นะ...
แวะไปอ่านบทความดีๆ ที่เชื่อมโยงกะเรื่องข้างบนพอดี เลยขออนุญาตนำมาแปะ...
=======================
คลื่นความคิด โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ : กฎแห่งกรรมยุคใหม่ ...
(ตัดมาตอนสุดท้าย)
...ที่จริงแล้วไม่ได้คิดจะมาทำให้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรมากมาย แค่พยายามหาอะไรมาแลกเปลี่ยนพอให้เข้ากับบรรยากาศที่กำลังร้อนๆ อยู่ในตอนนี้ ซึ่งต้องขอยอมรับว่าเป็นบรรยากาศที่ไม่ว่าทั้งกฎหมายหรือกฎแห่งกรรมมักจะถูกมองว่าไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ จึงขอสรุปด้วยข้อเขียนของผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนาที่ได้เขียนไว้ เช่น ข้อเขียนของท่านที่ใช้ชื่อว่า “ไชย ณ พล” ซึ่งเป็นใครก็ไม่ทราบ เพราะไม่มีประวัติบอกไว้ แต่มีงานเขียนเรื่อง “พุทธศาสตร์ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ” ไว้นานแล้ว แต่เท่าที่ได้อ่านดูโดยเฉพาะบทสรุปก็ดูจะเข้าท่า ท่านเขียนไว้ว่า…
“หลักการพุทธศาสน์ก้าวไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่าเมื่อกายแตกตายไป กระบวนการธรรมชาติมิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น สภาวะแห่งนามและนามรูปยังอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นพลังอันประณีตที่มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ประณีตกว่าอะตอมทั้งหลาย ซึ่งการคงอยู่ของสภาวะแห่งนามและนามรูปหลังกายแตกเพราะตายแล้วนั้น มี 3 ลักษณะคือ
1. หากชีวิตได้ผ่านชุดประสบการณ์ เกิดการเรียนรู้มามาก จนกระจ่างกฎเกณฑ์ กลไก และปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างโปร่งปรุ กระทั่งสามารถประเมินผลธรรมชาติได้โดยชัดแจ้งว่ามีความหมายเพียงใด และให้คุณค่าเพียงใด เข้าใจสภาพที่แท้จริงของธรรมชาติว่าไม่เที่ยง มีความบีบเค้นและไม่เป็นตนใดๆ ไร้การยึดถือสิ่งใดๆ ในความมีอยู่เป็นอยู่ทั้งปวง ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่มีดวงใจอันหมดจด เมื่อกายแตกแล้ว จะเข้าสู่สภาวะสุขอันหมดจด สงบระงับและอมตะตลอดกาล ซึ่งเรียกว่าพระนิพพาน อันเป็นวิวัฒนาการสูงสุดแห่งชีวิตจะพึงเข้าถึงได้
2. หากชีวิตใดประสบการณ์น้อย การเรียนรู้ในสายวิวัฒนาการยังไม่เพียงพอ ยังไม่อาจประเมินค่าแท้จริงของโลกได้ เพราะไม่เข้าใจความจริงแท้แห่งธรรมชาติโลก ยังมีความยึดถือในอารมณ์ที่เสพโลก หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี้ที่จะสร้างอารมณ์ให้บังเกิด บุคคลเช่นนี้เมื่อกายแตกตายไปแล้ว นามรูป (สัญญา) ที่บันทึกเจตนานั้นไว้จะยังไม่ดับ วิญญาณจะยังเกาะอยู่กับสิ่งที่เขายึดถือ หน่วงอยู่ในสัญญาตามลักษณะภพ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ และเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกย่อมเกิด แก่ ตาย เคลื่อน และอุบัติขึ้นอีก (พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ2501 : 26 : 167)
เมื่อบุคคลมีภพ (ภาวะ) อยู่ในใจ เมื่อตายไปแล้ว ใจจึงไปสร้างภพใหม่หลังการตาย ภพใหม่ที่บังเกิดขึ้นนี้เรียกว่ามิติทิพย์ อันประกอบด้วย พรหมโลก เทวโลก ภพเปรต และภพนรก การจะไปอยู่ในภพใดขึ้นกับว่าเขายึดถือภาวะอารมณ์และความอยากอย่างใดในนามรูป กล่าวคือ
ก. ถ้าบุคคลมีความโกรธ หน่วงยึดอารมณ์ พยาบาทมาก เป็นภาวะอยู่ในใจ เมื่อกายแตกแล้ว นามรูปก็จะไปอยู่ในภพที่มีความโกรธกับเหล่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยพยาบาท มีการกระทำต่อกันอย่างโหดร้าย หรือที่เรียกว่านรก
ข. ถ้าบุคคลมีความโลภ หน่วงยึดอารมณ์กระหายอยาก อย่างไม่ยับยั้งเป็นภาวะอยู่ในใจ เมื่อกายแตกแล้ว นามรูปก็จะไปอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยความอดอยาก แห้งแล้ง กันดาร กับสัตว์ที่มีความกระหายอยู่เนืองนิตย์ หิวโหย ทรมานยิ่ง หรือที่เรียกว่าเปรต
ค. ถ้าบุคคลใดมีคุณธรรมงาม มีความละอายต่อความผิด (หิริ) มีความเกรงกลัวต่อโทษภัย ต่อตนและคนอื่นแม้น้อยนิด (โอตตัปปะ) เป็นภาวะอยู่ในจิตใจ เมื่อกายแตก จะไปอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยสิ่งดีงาม หาสิ่งเลวทรามแม้น้อยนิดก็ยาก อยู่ร่วมกับผู้มีความสำรวมระวังกันเนืองนิตย์ ที่จะกอปรแต่กิจอันดีงาม เรียกว่าเทวโลก
ง. ถ้าบุคคลใดมีคุณธรรมประเสริฐ ทั้งยังกอปรด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อปวงสัตว์ หรือทรงฌานสมาบัติอันมั่นคง เมื่อกายแตก จะไปอยู่ในภาวะที่มีเสถียรภาพสูง แต่ไม่สถาพร เต็มไปด้วยความสงบ เยือกเย็นและอิ่มสุขกับผู้มีคุณสมบัติเดียวกันทั้งหลาย ภาวะนี้เรียกว่าพรหมโลก
นี่คือภพใหญ่ 4 ภพ ที่นามรูปซึ่งยังมีการยึดเหนี่ยวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะพึงเข้าถึงหลังการแตกมลายของกายธาตุ…
3. หากชีวิตใด แม้ประสบการณ์และการเรียนรู้ยังไม่มากพอที่จะเข้าใจแจ้งแทงตลอดธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง แต่กำลังเพียรพยายามเรียนรู้อยู่ ทั้งไม่มีคุณสมบัติใดๆ ตามภาวะแห่งใจที่ต้องไปอยู่พรหมโลก เทวโลก ภพเปรต และภพนรก และใจยังหน่วงยึดเหนี่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ นามรูปก็จะมาเกิดในโลกมนุษย์อีก โดยเข้าสู่ปฏิสนธิเซลล์ ในขณะที่สัตว์ผู้และสัตว์เมียผสมพันธุ์กัน แม้บุคคลเช่นนี้จะเกิดในโลกมนุษย์อีก แต่สถานะอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ สถานะจะเปลี่ยนแปลงแปรตามสภาวะแห่งจิตใจที่ยึดถือสิ่งใดไว้ในนามรูป…”
เรื่องที่พูดคุยกันนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นของฝากกันในสัปดาห์แห่งวันสำคัญทางศาสนา ท่ามกลางบรรยากาศระอุอ้าวทางการเมืองที่มีการพูดถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และกฎแห่งกรรม กันมากขึ้น .
=======================
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ถ้าใครสนใจ 'กฎแห่งกรรมยุคใหม่ ' ไปอ่านเต็มๆ ได้ที่เวปประชาไทตาม url ข้างล่างนี้เลย
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=2830&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai
Your site is on top of my favourites - Great work I like it.
»
Here are some latest links to sites where I found some information: http://indexmachine.info/3350.html or http://googleindex.info/2893.html
Post a Comment
<< Home